วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 18-19

ตอนที่ 18: My Worst Day...



    ไม่ได้อัพมานาน แบบว่าภารกิจรัดตัวจริงจัง ต้องขออภัยแฟนคลับที่มีจำนวนอยู่น้อยนิด เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า....
    วันนี้เป็นวันหยุดของผมครับ วันหยุดสำหรับคนทำงานโรงแรมมันมีค่ามากนะครับ เนื่องจากอาทิตย์นึงจะหยุดได้แค่วันเดียวครับ แต่วันหยุดวันนี้มันเหมือนเป็นวันวินาศสันตโร โอ้โหเฮะสำหรับผมมาก  เนื่องจากวันนี้ที่แผนกนัดประชุมทีมประจำเดือนครับ  ช่วงบ่ายผมเลยต้องเข้าที่ทำงานไปประชุมทั้งๆที่เป็นวันหยุดครับ ซึ่งก็ไม่ได้ซีเครียดอะไรเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ครับ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นดังนี้ครับ....
    - ตอนเช้าผมไปซักผ้าที่ตู้หยอดเหรียญครับ ใช้เวลาซัก 48 นาทีครับ
    - ผมใช้เวลา 48 นาทีนั้นเอารถไปล้างครับ ซึ่งใช้เวลา 30 นาที
    - ระหว่างรอรถผมไปทานอาหารเช้าเพื่อรอเวลาครับ
    - ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ผมจะใช้เวลาแค่ 48 นาที ในการ ซักผ้า+ล้างรถ+ทานอาหารเช้าครับ
    - ผมทานข้าวเช้าเสร็จครับ
    - ผมไปเอารถที่ล้างเสร็จเรียบร้อยภายใน 30 นาทีครับ
    - ผมเดินชิวเล่นระหว่างราผ้าอีก 10 นาที แล้วมองไปถึงแผนข้างหน้าว่าตากผ้าเสร็จจะไปห้องสมุดครับ...
    - ผมเดินไปเอาผ้าที่ตู้ครับ
    - ผมพบว่าตู้ผมมีคนมาเปิดฝาทิ้งไว้ครับ
    - ผ้ายังคงอยู่ในตู้แบบชุ่มน้ำ เครื่องหยุดทำงาน และเลขบนหน้าจอค้างไว้อีก 44 นาทีครับ
    - ผมคาดว่าคงมีคนจะมาซักแล้วเปิดดูตู้ผมโดยไม่รู้ว่ามันมีผ้าอยู่แล้วครับ
    - คนๆนั้นพอเห็นว่าอ้าว มีผ้านี่อยู่แล้วนี่นา เค้าเลยเดินไปใช้เครื่องอื่นครับ
    - แต่"อีห่า"นั่นมันไม่ปิดฝาเครื่องให้ผมครับ!!!
    - ผมต้องรอเพิ่มอีก 44 นาทีครับ...
    - ผมไปห้องสมุดช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้ครับ...
    - ผมไปห้องสมุดได้แค่ 2 ชั่วโมง จากปกติ 4 ชัวโมงเพราะตอนบ่ายมีประชุมครับ
    - ถึงเวลาประชุมผมก็ไปที่ทำงานครับ
    - พอไปถึง เมเนเจอร์บอกว่า "วันนี้ยกเลิกการประชุม ให้เลื่อนไปก่อน" ด้วยสีหน้าเรียบเฉย...
    - ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนวะครับฟระเฮ้ย!!!
    - ผมขับรถกลับแบบเซ็งๆ
    - ฝนกระหน่ำตกหนักตอนผมขับรถกลับแบบเห็นข้างหน้าแค่ 5 เมตรครับ
    - ผมเพิ่งล้างรถไปตอนเช้าครับ
    - รถผมเปียกหมดเลครับ
    - ตอนลงจากรถตัวผมก็เปียกครับ
    - ตอนขึ้นห้องไปก็พบว่าไฟดับครับ
    - ผมเปิดประตูไปดูที่ระเบียง ผ้าที่ตากไว้ก็เปียกหมดเลยครับ เพราะฝนสาดแรงมาก
    - ผมเพิ่งซักผ้าไปตอนเช้าครับ
    - ผมเดินเข้าห้องน้ำครับ
    - ผมนั่งลงกับพื้นครับ
    - ผมเปิดฝักบัวให้รดน้ำใส่ตัวทั้งๆที่ใส่เสื้อผ้าอยู่ครับ (เสียดายตอนนั้นไม่ได้เปิดเพลงแทงข้างหลัง ทะลุถึงหัวใจคลอไปด้วย)
      ทำไมไม่แผ่นดินไหวแล้วสูบกูลงไปให้มันจบๆไปเลยวะไอเห็ดสด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ป.ล.เรื่องยังไม่จบแค่นั้น วันต่อมาตารางผมต้องเข้างานตอนดึกครับ วันนั้นวางแผนไว้ว่าจะไปออกกำลังกายตอนเช้า ตอนแบ่ายอ่านหนังสือชิวๆที่ห้องสมุด ตอนเย็นไปเรียน ตอนดึกไปทำงาน ขณะนั้น 08.30 น. ผมเตรียมปั่นจักรยานไปออกกำลังกายที่สนาม พี่ที่ทำงานโทรมาว่า "เฮ้ยก้อง พอดีตารางเปลี่ยน วันนี้แกเข้างาน 08.00 น. นะ".... เข้างาน08.00 น. โทรมาบอกผมตอน 08.30 น..... คงไปทันหรอก สัด!
แผนผมพังทลาย รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าขับรถเหยียบมิดด้ามไปทำงาน แล้วต้องทำเรื่องขอเปลี่ยนตารางงานเป็น 09.00-18.00 น. แทน และแน่นอน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเพราะงานยุ่งทั้งวันและไม่ทันได้เตรียมหนังสืออะไรทั้งนั้นเพราะต้องรีบมาทำงาน และเย็นวันนั้นไปสอบที่โรงเรียนก็สอบตกครับ.....

ตอนที่ 19: เจออะไร ในข้างทาง

    ผมปั่นจักรยานมาได้ 2 เดือนแล้วครับ ปั่นไปทำงานไปกลับทุกวันวันละเกือบ 10 กิโลเมตร  ปั่นไปห้องสมุด  ปั่นไปสนามกีฬา  ปั่นไปตลาด จนแทบจะไม่ได้ใช้รถยนต์เลยครับ จากเดือนแรกเสียค่าน้ำมันกับแก๊สไปเกือบ 2,000 บาท ไม่รวมค่าจอดรถและความเซ็งตอนหาที่จอดไม่ได้และรถติดด้วยครับ  ที่ซื้อคันนี้เพราะล้อมันใหญ่มาก เวลาปั่นแล้วเร็ว สะใจ ไม่เหมือนจักรยานญี่ปุ่นแบบล้อเล็กที่ต้องซอยถี่ได้อีก และก็ไม่ซื้อแบบพวกฟิกเกียร์เพราะมันแพงฮะ ไม่มีบังโคลนกันน้ำกระเซ็นอีก ยิ่งตอนนี้ช่วงหน้าฝนด้วย

เธอชื่อน้อง"โซระ"(สีฟ้า)  ส่วนผมคนขี่ชื่อ"อาโออิ"ครับ
 
 ภาพมุมมองบุคคลที่ 1 ตอนขี่โซระ แบบในเกมคอมครับ
 


     การขี่จักรยานก็สะดวกไปอีกแบบนะฮะ เอาจริงๆถ้าขี่ในตัวเมืองผมว่าคล่องตัวกว่ารถยนต์เยอะเลย  เพราะไม่ต้องกังวลาเรื่องที่จอด ไม่ต้องยูเทิร์นไกลเพราะทาง one-way แบบรถยนต์ เวลาเราจะสวนเลนก็แอ๊บเนียนเป็นคนเดินข้ามถนนจูงจักรยานไป อยากแวะจอดร้านไหนก็จอดได้ ติดไฟแดงก็แซงไปหน้าสุดเหมือนมอไซส์ เวลาเจอด่านก็ไม่ต้องกลัวโดนเรียกเรื่องไม่สวมหมวกกันน็อคไบบมอไซส์ ที่สำคัญสุขภาพร่างกายเข็งเรง เอาเป็นว่าตอนนี้เพื่อนๆที่โรงเรียนทักว่าผมผอมลงไปเยอะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะขี่จักรยานหรือเพราะไม่ค่อยมีตังค์ซื้อข้าวกินนะฮะ  อ้อ อีกเรื่องที่ผมชอบมากจากการขี่จักรยานก็คงเป้นเรื่องที่ทำให้ผมได้สังเกตเห็นสิ่งรอบกายได้ชัดเจนมากกว่าการขับรถครับ  อย่างเช่น...

เห็นเด็กน้อยใส่ชุดพื้นเมืองมาทำบุญกันที่วัดในวันศุกร์
 
เห็นคนรีบร้อนจอดรถเสียบกุญแจทิ้งไว้ (แน่นอนครับ ผมจอดโซระทิ้งไว้แล้วขับรถคันนี้หนีออกไปทันที)

เห็นโฆษณาแปลกๆ ("อั้ม"ไหนวะสาดดด กุไม่รุจัก)

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 16-17

ตอนที่ 16: เรื่องน้ำ สำคัญนะ

ช่วงปลายเดือนเมษาที่ผ่านมา ชินได้มีโอกาสเข้าร่วมการสัมนาของมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (http://www.utokapat.org) ในหัวข้อเรื่อง เข้าใจน้ำ เข้าถึงน้ำ พัฒนาน้ำ ซึ่งจัดขึ้นที่เซ็นทรัล แอร์พอร์ท


ซึ่งมูลนิธินี้เกิดขึ้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเงินจำนวน ๘๔ ล้านบาท ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ให้เป็นทุนประเดิมสำหรับการก่อตั้งมูลนิธิน้ำ เพื่อสนองพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาเรื่องน้ำ โดยการสัมนาในวันนั้น ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการและ ดร. รอยบุญ รัศมีเทศ กรรมการและรองเลขาธิการได้เข้าร่วมในการสัมนาด้วย ชินขอสรุปใจความสำคัญของการสัมนาในวันนั้นสรุปใจความสั้นๆได้ดังนี้

-ว่าด้วยเรื่องของภัยธรรมชาติแล้ว นอกจากเรื่องโลกร้อน ก็มีเรื่องน้ำนี่แหละที่เป็นภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อมนุษย์เราอย่างยิ่ง (ไม่แล้งก็ท่วม และจริงๆเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อน)
-ถ้าพูดถึงปัญหาน้ำในประเทศไทย ปัญหาหลักคือการไม่แก้ไขให้เป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่แก้ปัญหาแบ่งตามเขตการปกครอง ทำให้คนต่างพื้นที่ทะเลาะกันเพื่อให้พื้นที่ตัวเองน้ำไม่ท่วมในหน้าน้ำหลาก และเก็บกักน้ำให้มากที่สุดในหน้าแล้ง
-การขุดลอกคลองเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุที่ไม่ยั่งยืน เพราะยังไงน้ำจากต้นน้ำก็จะพัดพาเอาตะกอนมาถมเหมือนเดิมอยู่ดี
ปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ทำไมถึงยังแล้ง?

-ข้อมูลตัวเลข(ระดับน้ำ ระดับฝนที่ตก ฯลฯ)เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการแก้ปัญหา
- สองสามปีที่ผ่านมาฝนไม่ได้ตกน้อยลง กลับตกมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่ฝนทิ้งช่วงนาน
- ปี 2554 ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ ปีนั้นฝนตกเพิ่มขึ้น 30%
- แผนที่บริเวณน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 กับน้ำแล้งในปี 2555 เป็นพื้นที่เดียวกัน!!!

- ในปีที่ในหลวงขึ้นครองราชย์ (2489)ขณะนั้นประเทศไทยมีประชากรเพียง 11 ล้านคน
- 70% ของโครงการหลวง เกี่ยวข้องกับน้ำ
- เกษตรกรไทยชอบขุดน้ำบาดาลมาทำการเกษตรในหน้าแล้ง ซึ่งทั้งประเทศคิดเป็นปริมาณน้ำบาดาลเท่ากับเขื่อนสิริกิตติ์ทั้งเขื่อน โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการทำให้แผ่นดินทรุดปีละกว่า 30 cm! ซึ่งเป็นผลให้น้ำท่วมสูงขึ้นทุกปีๆ
-การขุดบ่อเก็บกักน้ำที่ถูกต้องควรลึกตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป เพราะปีนึงน้ำระเหยคิดเป็น 2 เมตร และมีพืชคลุมดินรอบบ่อเพื่อลดการคลายน้ำด้วย
-กรมชลประทาน และการประปา ดูแลแต่น้ำสายหลัก ซึ่งมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ในเขตชลประทานแค่ 17% เท่านั้น
มีพื้นที่เกษตรเพียงแค่ 17% เท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งน้ำของกรมชลประทาน

- งบชุมชนที่เอามาแก้ไขเรื่องน้ำคิดเป็นแค่ 10% ของงบทั้งหมด ซึ่งเอามาทำได้แค่ซื้อยาฆ่าแมลงมาพ่นผักตบชวาให้น้ำเน่าเล่นเท่านั้น
- กรมชลประทานจะทำโครงการที่มีปริมาณน้ำตั้งแต่ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นคลองเล็กๆที่ผ่านหน้าบ้านตาสีตาสาหมดสิทธิ์
- ราชการไทยชอบคิดทำเป็นโครงการทำเสร็จส่งเอาผลงานแล้วก็จบๆกันไป ไม่ชอบทำอะไรที่มันระยะยาว ตัวอย่างที่น่าบัดซบก็คือที่พะเยามีการสร้างเครื่องบำบัดน้ำเสียราคาเป็นร้อยล้าน แต่ไม่ได้ใช้เพราะไม่มีงบมาซื้อเชื้อเพลิง...
- การแก้ไขปัญหาน้ำต้องคิด(Macro)คือคิดทั้งระบบ  แต่แก้ปัญหาโดยเริ่มจาก (Micro)คือเริ่มทำตั้งแต่ภาคครัวเรือน
- ภาคครัวเรือน ชุมชน ร่วมกันบริหารน้ำได้โดยการนำวนเกษตรหรือเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้

    มีตัวอย่างของบ้านห้วยปลาหลด จังหวัดตาก ที่ทำให้ชินประทับใจไม่น้อย ชุมชนแห่งนี้เริ่มจากการที่ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อครอบครองเป็นพื้นที่ทำกิน
พวกล่อซะภูเขาเหี้ยนเตียนเป็นภูเขาหัวโล้น บ้างก็ปลูกไร่ข้าวโพด บ้างก็ปลูกฝิ่น จนท้ายที่สุดแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ชาวบ้านทะเลาะกันเองเพราะแย่งแหล่งน้ำ ซ้ำร้ายทางราชการได้เวรคืนที่เพื่อเป็นเขตอุทยาน โดยให้โอกาสชาวบ้านว่าถ้าจะยังอยากอยู่ร่วมกับป่า ต้องช่วยกันฟื้นฟูป่าให้กลับมาเหมือนเดิม ไม่งั้นก็จะต้องออกไป และในตอนนั้นเอง ในหลวงได้เข้ามาเยี่ยมชุมชนแห่งนี้ในปี 2517 และทรงส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟ และพืชผักแทนการปลูกฝิ่น จากการหันหน้าเข้ามาช่วยเปลือกันในชุมชนทำให้ตอนนี้แบรนด์มูเซอทั้งของกาแฟและพืชผักช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และการบริารจัดการน้ำในชุมชนก็เป็นระบบ มีการ

สร้างแนวและจัดเวรยามป้องกันไฟ มีแหล่งเก็บน้ำ มีการเก็บกระแสไฟฟ้าจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ในชุมชน ลองเข้าไปเยี่ยมชมชุมชนแห่งนี้ได้ที่
http://takcoop.blogspot.com/2012/05/muser-coffee.html

ตอนที่ 17: งานโรงแรม ค้างแรมรัก (1)

    หลังจากชิวอยู่ได้เกือบเดือน ในที่สุดชินก็ได้งานทำฮะ ขอบอกว่าไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะcondition ของชินคือ งานอะไรก็ได้ที่เข้า-ออกงานตรงเวลา ไม่ต้องอยู่เคลียร์งาน ไม่ต้องมาทำ OT-O.free ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนในภาคค่ำ  และได้ใช้ภาษาด้วย
และแล้วชินก็ได้มาทำงานโรงแรมอีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็นบาร์เทนเดอร์มาเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ในครั้งนี้ชินได้มาทำ receptionครับ โรงแรมที่ชินไปทำเป็นโรงแรม 4 ดาว เก่าแก่ย่าน night bazaarครับ ขอสงวนชื่อโรงแรมนะฮะ เพราะเกรงว่าเรื่องที่ชินจะเล่าต่อๆไปมันจะมีผลกระทบต่อโรงแรมแล้วเดี๋ยวชินจะโดนฟ้องเอา เอาเป็นว่าที่นี่ยอมรับเงื่อไขของชินได้ที่จะไม่ขอเข้ารอบบ่ายเพราะติดเรียนภาคค่ำ เวลา 06.30-22.00 น. ตอนสมัครไม่ทันได้ดูว่าชุดพนักงานที่นี่เป็นยังไง พอเข้างานวันแรกน้ำตาแทบตกในเพราะพนักงานต้อนรับใส่ชุดเด็กดอย...
    สัปดาห์แรกของการทำงานชินถูกส่งตัวไปฝึกงานกับแผนก reception อยู่ 4 วัน ก็ทำให้ชินพอเข้าใจกระบวนการของการ booking ในรูปแบบต่างๆระหว่างโรงแรมกับลูกค้า ซึ่งลูกค้าที่จองมาจะมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บริษัททัวร์ จองออนไลน์ (Agoda, Expedia, booking.com, etc..) มาในนามบริษัททัวร์ นิติบุคคล หรือในนามบุคคลทั่วไปก็แล้วแต่ เมื่อทางฝ่าย reservation ได้รับการติดต่อจากลูกค้าไม่ว่าจะทาง e-mail หรือทางโทรศัพท์ ก็จะต้องบันทึกรายละเอียกต่างๆของการจองลงใน booking form หลังจากนั้นก็ต้อง key ข้อมูลลูกค้าที่จองทั้งหมดลงในโปรแกรม Comanche ซึ่งที่นี่ใช้เป็นโปรแกรมหลักในการทำงานของฝ่ายต่างๆทั้งหมดในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น sales, reservation, แม่บ้าน, reception, รวมถึงcounter ต่างๆของโรงแรมที่มีการ post bill

ซึ่งพอชินลองได้มาทำงาน reservation ก็ทำให้เข้าใจถึงความชอกช้ำระกำรักในเวลาที่ลูกค้า cancel การจองทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกบริษัท หรือทัวร์จะไม่ค่อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการ amend ข้อมูลเรื่องวันที่เข้าพัก วันเช็คเอาท์ หรือจำนวนคนมากกว่า แต่ที่ทำเอาฝ่าย reservation เบื่อ เซ็งจนแทบจะกระชากผมตัวเองมาเคี้ยวเล่นเห็นจะเป็นพวก online booking ที่ cancel กันเป็นว่าเล่น อารมณ์คลิกจองง่าย ก็คลิก cancelง่าย(ส่วนใหญ่ cancelได้ก่อนวันเช็คอิน 7 วัน โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ) แต่่หารู้ไม่ว่าทุกครั้งของการคลิกจองเข้ามา ทางโรงแรมก็จะได้รับอีเมลล์จากเว็บไซท์เปล่านั้น และทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้อง printอีเมลล์ออกมา กรอกรายละเอียดการจองลงใน booking form เสร็จแล้วก็ต้องกรอกรายละเอียดการจองนั้นๆลงในโปรแกรม comancheอีกต่อนึง เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเอาเอกสารของการจองลูกค้าเก็บไว้ในตู้เอกสารการจองของลูกค้าซึ่งจะแบ่งเอาไว้เป็นเดือนๆ แล้วถ้าลูกค้าแคนเซิลการจองมาทีนึงซึ่งง่ายแสนง่ายแค่คลิกปลายนิ้ว ส่วนเว็บไซท์นั้นๆก็จะส่ง auto-emailมาให้โรงแรมต่ออีกที
แต่ทางโรงแรมนี่สิ ต้องทำ manual 100%ฮะ กระบวนการก็จะย้อนกลับไปใหม่ คือเจ้าหน้าที่ก็จะต้องไปค้นเอกสารการจองในตู้ ต้องมาแคนเซิลใน comanche อีกที ซึ่งถ้าวันไหนมีคนกดแคนเซิลกันบ่อย วีนนั้นก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรกันเลยฮะ ซึ่งชินก็ไม่แน่ใจว่าที่อื่นเค้าเป็นอย่างนี้กันป่าวหว่า ก็ขอเอามาเล่าสู่กันฟังละกันเน้อ
กรอกข้อมูลการจองลงใน comanche

ทำงานที่นี่ยังไม่ถึงเดือนก็มีเรื่องราวถาโถมเข้ามามากมาย กะเช้างานจะไปหนักที่แขกลงมา check-out กะบ่ายจะหนักไปทาง check-in ส่วนรอบดึกก็จะอยู่เช็ค transaction และ

bill ทั้งหมดในวันนั้นๆว่ามีข้อผิดอะไรหรือไม่ ช่วง 2 อาทิตย์แรกชินได้เข้ามาทำกะเช้า แค่เช้าวันแรกเท่านั้นก็เกิดเรื่องชวนสยิวกิ้วเลย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

case 1: สายเข้า เขย่ารัก:

กล่าวคือเช้าวันนั้นยืนเวรกับพี่รุ่นผู้ ญ อีกคน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รุ่นพี่คนนั้นรับโทรศัพท์ตามปรกติ  แต่ทว่าอยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็เงียบไป กลายเป็นหน้าเหวอแทน และพี่เค้าก็วางโทรศัพท์ไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ชินก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้นอะพี่ ยังไม่ทันที่พี่เค้าจะอธิบายอะไรโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
พี่เค้าเลยบอกให้ชินลองรับดู ชินก็เลยรับโทรศัพท์ขึ้นมา
ชิน: Reception speaking, how may I help you?
Guest: อู้วว อ้าาา อู้ว....(เสียงผู้ ญ ร้องครวญครางเบาๆ+เสียงหายใจแรง)
ชิน:.... ขออณุญาตวางสายนะฮะ....
ก็เข้าใจนะว่าจะให้ช่วยอะไร แต่ยังไงเจ๊ก็ช่วยตัวเองต่อไปละกัน...(แบบว่าผมยังไม่ออกเวรอ้ะ ไม่งั้นไปช่วยละ) หลังจากวางสายชินก็รีบเช็คข้อมูลในระบบว่าอะไร ยังไง เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นใครกัน ก็ได้ความว่าเธอเป็นคนไทย มีสามีเป็นฝรั่ง ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นสามีเธอไม่อยู่ แต่demandเธอมันล้นหรือยังไงก็เลยโทรมาคนที่จะsupply ให้เธอได้ ทีแรกนึกว่าเธอจะยอมหยุด เธอโทรมาอีกสองสามครั้งครับ ซึ่งแต่ละครั้งที่โทรมาเราก็เวียนให้แต่ละคนในรอบนั้นๆได้รับโทรศัพท์ของเธอคนนี้จนครบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ F/O Manager ซึ่งได้ให้ความเห็นว่าลูกของเธอเล่นโทรศัพท์รึเปล่า ซึ้งผมว่าไม่ใช่แน่นอนเพราะจำได้ว่าลูกเธอยังเล็กแค่ 2-3 ขวบ จะเล่นเซ็กส์โฟนเป็นแต่เด็กแล้วเรอะ แล้วโทรมาไม่อ้อๆ แอ้ๆ แต่อู้ว์ อ้าห์ อย่างเดียวเลยเนี่ยนะ!!!

caseที่ 2: May I have more drawer?

ก็อย่างที่ว่าในหัวเรื่องแหละครับ ชินยืนเวรวันแรกก็มีฝรั่งท่านนึงเดินมาที่เค้าท์เตอร์ แกเป็นฝรั่งอ้วนใหญ่ วัยกลางคน แลดูน่ารักน่าดูเอ็นด้วยการแต่งตัวที่มีสไตล์ของแกสไตล์ยุค 60 นิดๆ แกก็ถามผมว่าแกอยากได้ลิ้นชักในห้องเพิ่ม (ไม่ใช่ drawer ที่แปลว่าจิตรกรมาวาดภาพนู้ดแบบ portrait ให้แกนะครับ) ประเด็นที่เหมือนจะไม่มีอะไรมันกลายเป็นมีอะไรด้วยเหตุที่ว่าแกจะเอาลิ้นชักเยอะแยะไปทำไมในเมื่อในห้องก็มีลิ้นชักตั้งแต่โต๊ะทำงาน โต๊ะเครื่องแป้ง รวมถึงลิ้นชึดในตู้เสื้อผ้า แกบอกของแกเยอะ ไอ้เรากลัวว่าแกจะฆ่าหันศพใครแล้วกระจายยัดตามลิ้นชักมากกว่าอะดิ แต่ยังไงก็ตามโรงแรมก็ไม่สามารถหาลิ้นชักมาเพิ่มให้แกได้ ก็เลยบอกให้แกซื้อตู้พลาสติกตามบิ๊กซี โลตัสราคาไม่กี่ร้อยมาใส่ห้องแกเองดูจะคุ้มกว่า จะทิ้งก็ไม่เสียดาย (แขกท่านนี้เป็นแขก long stay ครับ ณ วันที่ผมพิมพ์อยู่ตอนนี้ แกยังพักอยู่เลยครับ)

caseที่ 3:  Van Van three van

ครับ โรงแรมที่ชินทำงานมีลูกค้าหลากหลายครั้บ แต่มากกว่าครึ่งจะเป็นญี่ปุ่น นอกจากนั้นก็หลากหลายเลยฮะไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ตะวันออกกลาง มองโกเลียก็มีมาแล้ว ยิ่งตอนนี้ทัพจีนบุกทะลวงเข้ามาเป็นระรอกๆ ไอ้เรื่องภาษาอังกฤษขอบอกเลยครับว่าคนญี่ปุ่นเกือบ 80% พูดอังกฤษไม่ได้ แล้วยังมีพวกที่หน้าฝรั่งแต่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อีก เช่นพวกอิตาลี หรือแม้แต่ละตินอเมริกาบางคนที่หน้าฝรั่งแต่กูพูดได้แต่ spanish และแล้วก็มีแขกคนนึงที่เข้าในข่ายนี้น่าจะเป็นพวกยุโรปตะวันออกเดินมาที่เคาท์เตอร์ในวันแรกของการยืนเวรของชิน ชินได้ยินแกพูดว่า van van three van ฮะ อะไรนะ ต้องการ

รถตู้สามคันเลยเหรอวะ จะเหมาให้ทีมรักบี้หรือยังไง เอ๊ะแล้วทำไม van ไม่เติม s มันผิดแกรมม่านะ เอ๊ะ ยังไง อะไร ระหว่างที่กำลังยืนทะเลาะกับความคิดของตัวเอง คุณลุงที่เข้าเวรพร้อมกันทำงานโรงแรมมากว่า 18 ปี ที่ยืนอยู่ข้างๆก็เดินมาหยิบกุญแจห้อง 1131 ให้แขกคนนั้น... กูแม่งห่วยว่ะ....

caseที่ 4: กระดังงาลนไฟ ต้องให้เจแปน
วันที่สามของการทำงานก็มีผู้ ญ ญี่ปุ่นคนนึงเดินมาที่เคาท์เตอร์ ดูจากหน้าตาเดาได้ว่าเธอเกินสามสิบละ แต่ก็ยังดูสวยสพรั่ง กระดังงาลนไฟมากๆ ถึงการแต่งตัวเธอจะคล้ายกับวัยรุ่น คือนุ่งกระโปรงสั้นเสื้อแขนกุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ๊แกดูหลอกวัยไม่เข้ากับอายุเจ๊แกแต่อย่างใด เธอเดินมาเพื่อขอกุญแจห้องกับผมครับ และพยายามพูดตัวเลขเป็นภาษาไทยซึ่งก็นึกอยู่แป๊บก่อนจะพูดได้อย่างถูกต้อง ผมยิ้มและชมเธอว่าเธอพูดไทยได้ถูกต้อง เก่งจังเลย ในใจอยากจะเข้าไปกอดหอมแก้มให้เป็นรางวัล แต่ เธอมากับสามีครับ... ฮ่วย

caseที่ 5: reception มันต้องผู้ ญ

มีอยู่วันนึงมีกลุ่มคนไทย walk-in เข้ามาพัก แต่มาในนามบริษัท จำได้ว่าต้องการห้องประมาณ 3 ห้อง เหตุการณ์ก็ราบรื่นจนแขกลงทะเบียนเสร็จ ได้รับกุญแจห้องเรียบร้อย ก่อนแขกกลุ่มนั้นจะเดินจากไป มีอาเจ้คนนึง อายุน่าจะสี่สิบกว่าได้ สะบัดบ๊อบเดินเข้ามาคุยกับชินและคุณลุงที่ยืนเวรด้วยกันสองคน (แกชื่อลุงตรี เดี๋ยวจะมีตอน special ให้แกโดยเฉพาะ) ว่าเอ๊ะ แปลกนะ ที่นี่เค้าให้ผู้ชายมาทำงาน reception ด้วยเหรอ ปกติต้องมีผู้ ญ บ้างนะ แกพูดพร้อมจิกสายตา อารมณ์ว่าเจ้ผ่านมาเยอะ ผมกับลุงตรีก็มองหน้ากันก่อนลุงแกจะบอกว่า ผู้ ญ ก็มีครับ แต่พอดีกะตอนนี้เหลือแต่ผู้ชายครับ แกก็พูดประโยคทิ้งทวน ชวนสงสัย ก่อนสะบัดบ๊อบแล้วเดินจากไปว่า
"เหรอ เท่าที่เห็นที่อื่น ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่เค้าก็เอาคนหน้าตาดีมาทำกันนะ.." สาดดด หมายความว่าไงฟระะะะะ เฮ้ย อยู่เคลียร์กันก่อนดิ เฮ้ย เฮ้ยยย....


วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 13 - 15

ตอนที่ 13: สงกรานต์ สราญรัก (1)

    สงกรานต์ปีนี้ชินไม่ได้กลับบ้านที่กรุงเทพครับ พอดีช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเพิ่งจะกลับไป และต้นเดือนหน้าก็จะกลับไปอีกรอบ ปีนี้ก็เลยขอดื่มด่ำกับบรรยากาศสงกรานต์ที่เชียงใหม่ซักหน่อย แบบว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นบรรยากาศสงกรานต์ที่เชียงใหม่เลยจริงๆ เคยแค่มาเที่ยวช่วงเทศกาลอื่นเฉยๆ เลยอยากรู้ว่าสงกรานต์ที่นี่มันม่วนขนาดไหน  จากการพูดคุยกับคนท้องถิ่นได้ข้อมูลมาว่าตั้งแต่หนังจีนเรื่อง lost in thailand ได้ฉายในประเทศจีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการฉายในจีนกว่าหกพันล้านบาทจากต้นทุนหนังเพียงแค่ 150 ล้านบาทเท่านั้น (พี่มากแค่ห้าร้อยล้านเองนะเอ้อ) ทำให้เกิดกระแส lost in thailand fever ขึ้น ถึงขนาดยอดการจองโรมแรม ที่พัก ทัวร์ เพิ่มขึ้นกว่าห้าเท่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ตรุษจีน ยันสงกรานต์ เรียกได้ว่าทัพจีนตีนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นกระจาย เล่นเอาไกด์ญี่ปุ่นตบยุงเพราะว่างงานกันเลยทีเดียว


   เอาเป็นว่าพักเรื่องนักท่องเที่ยวจีนไว้ก่อน ชินจะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไป ในตอนนี้ชินจะเอาภาพบรรยากาศสงกรานต์เชียงใหม่มาให้ดูคร่าวๆเท่าที่ชินได้ไปเที่ยวมาละกันเน้อ อาจจะไม่ครอบคลุมทุกกิจกรรมที่ทั้งทางราชการและเอกชนเค้าจัดขึ้นมา แต่ก็เรียกว่าได้ไปหลายงานอยู่ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงก็องเข้าไปดูในเว็บไซต์สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่เพื่อดูว่าเค้างานงานที่ไหนอะไรกันบ้าง(http://www.cm-mots.com/) ในตอนนี้ชินจะขอกล่าวถึงวัดต่างๆที่ชินได้ไปแอ่วมาตลอดช่วงสงกรานต์ละกันจ้า

ใส่บาตรในเช้าวันที่ 13 เมษายน 2556
    เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความเป็นสิริมงคลในชีวิต ก็เลยตื่นแต่เช้าเพื่อไปใส่บาตรที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่เลย (อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ ผู้สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ คือ พญามังราย, พญางำเมือง และ พ่อขุนรามคำแหง)  จากนั้นก็บุกตะลุยวัดต่อ ซึ่งต้องขอขอบคุณพี่แขก รุ่นพี่ที่โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่อาสาเป็นไกด์และคนขับรถพาชินกับเพื่อนร่วมชั้นชื่อรุ้งอีกคน ชินขอเอาบรรยากาศในวัดต่างๆมาพอให้ดูพอกระชุ่มกระชวยจิตใจละกันนะจ๊ะ
วัดผาลาด อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ
วัดผาลาด
วัดเจ็ดยอด
วัดเจ็ดยอด

วัดพันอ้น บนถนนคนเดิน
ไหว้พระธาตุที่วัดพันอ้น
วัดโลกโมฬี
วัดโลกโมฬี
วัดโลกโมฬี
วัดลอยเคราะห์

    วัดที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวเห็นจะเป็นวัดพระสิงห์กับวัดเจดีย์หลวงด้วยความที่ใหญ่อลังการคนละแบบ กล่าวคือ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ. ๑๘๘๘ และเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเชียงใหม่ ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๗๐๐ โดยกษัตริย์ลังกา ๓ พระองค์และ พระอรหันต์ ๒๐ รูป เป็นผู้สร้าง ปี พ.ศ. ๑๙๓๑ พระเจ้าแสนเมืองมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ประดิษฐานที่วัดลีเชียงพระ (วัด พระสิงห์)ปัจจุบัน  นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆอีกมากมาย (ข้อมูลเพิ่มเติมhttp://xn--72cai2bycvaff7a7amd2dk4ct9p7bwf5c.com/index.php)
ตามภาพค่ะ
พระสิงห์ (องค์กลาง) วัดพระสิงห์
วัดพระสิงห์
พระธาตุประจำปีมะโรงปีนักษัตรของชินจ้า
สรงน้ำพระธาตุประจำปีมะโรงโดยการชักรอกน้ำขึ้นไปสรง
    ส่วนวัดเจดีย์หลวง มีโบราณสถานสำคัญคือพระธาตุเจดีย์หลวง ซึ่งถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถูกสร้างขึ้นในในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1945)  สร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะ บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535  ซึ่งถ้าใครได้เข้าไปชมจะต้องอดทึ่งกับความใหญ่โตของพระธาตุแทบทุกคน ถึงแม้ในปัจจุบันส่วนยอดของพระธาตุจะไม่สมบูรณ์เหลือเพียงครึ่งองค์แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าในสมัยก่อนจะสูงและใหญ่โตขนาดไหน
วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง
    อีกแห่งนึงที่อยากแนะนำคือวัดพระศรีสุพรรณ ถนนวัวลาย(เป็นถนนคนเดินอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ เปิดทุกคืนวันเสาร์ อยู่ทางทิศใต้ของคูเมือง) ซึ่งด้วยความที่ถนนแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือเครื่องเงิน อุโบสถของวัดแห่งนี้จึงสร้างด้วยเงินทั้งหลัง ซึ่งห้ามผู้หญิงเข้าไปข้างในตัวอุโบสถเน้อ
พระพิฆเนศ วัดศรีสุพรรณ
อุโบสถเงิน วัดศรีสุพรรณ

อุโบสถเงิน วัดศรีสุพรรณ
     อีกวัดนึงที่จะไม่กล่าวคงไม่ได้ นั่นก็คือวัดสวนดอก (รูปวัดดึงมาจากวิกินะ ตอนนั้นแบตหมดพอดีเลยไม่ได้ถ่ายด้วยมือถือตัวเอง)  วัดแห่งนี้ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก 1 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีความสำคัญเพราะเป็นวัดที่รวบรวมพระอัฐิเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติมาประดิษฐานรวมกัน และเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าเก้าตื้ออันศักดิ์สิทธิ์
พระเจดีย์วัดสวนดอก
พระเจดีย์วัดสวนดอก
พระเจ้าเก้าตื้อ
     และแล้วก็ถึงวัดสุดท้ายสำหรับทริปจาริกแสวงบุญ ซึ่งชินค่อนข้างชอบเป็นการส่วนตัว นั่นก็คือวัดอุโมงค์  ด้วยเหตุที่ว่าเป็นวัดที่มีบรรยากาศเป็นวัดป่ามากที่สุดในบรรดาทุกวัดที่กล่าวมา  ซึ้งเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก แต่ชินและผองเพื่อนก็หาได้ไปนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่พวกเราซื้อขนมปังกับอาหารปลามาเลี้ยงปลาในบ่อแทน ซึ่งพอโยนอาหารลงบ่อไป ปลาก็ไม่ยอมกินด้วยเหตุที่มีนักท่องเที่ยวโยนให้มันทั้งวันแล้ว เลยต้องเอามาให้ฝูงนกพิราบกินแทน (เผลอๆมีนกเยอะกว่าปลาในบ่ออีก)
วัดอุโมงค์

วัดอุโมงค์

วัดอุโมงค์
เอาอาหารปลามาให้อาหารนก

     อีกหนึ่งสิ่งที่อยากบอกต่อ เป็นอะไรที่ชินค่อนข้างเห็นด้วยก็คือการที่ตามวัดใหญ่ๆในตัวเมือง เช่น วัดพระสิงห์ พระศรีสุพรรณ ฯลฯ จะจัดศาลาหรือพื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดไว้ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องธรรมะของพระพุทธศาสนากับพระลูกวัดเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง  หรือที่เรียกว่า monk chat ซึ่งชินเห็นว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ ไม่ใช่มีแค่วัดสวยให้แค่นักท่องเที่ยวมาไหว้ ถ่ายรูปคู่ อัพเดท status แล้วกลับประเทศ ซึ่งคงเป็นแค่การชื่นชมทางวัตถุ แต่ไม่ได้พัฒนาทางด้านจิตใจเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุด monk chat คงไม่ได้ต้องการถึงขั้นให้นักท่องเที่ยวหันมานับถือศาสนาพุทธ แต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาเบื้องต้นในทางที่ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว



     ว่ากันว่าแค่บริเวณคูเมืองเชียงใหม่ก็มีวัดกว่า 88 แล้ว ถ้านับในอำเภอเมืองก็ร้อยกว่าวัด ถ้านับทั้งจังหวัดไม่รู้ว่าจะเท่าไหร่ ซึ่งจำนวนวัดอาจจะไม่เยอะเท่ากรุงเทพ แต่หากวัดเรื่องความหนาแน่นของวัดแล้วชินว่าเชียงใหม่ชนะนะ อาจกล่าวได้ว่าเชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของภาคเหนือก็ว่าได้ ในตอนนี้อาจะหนักไปในทางเรื่องวัดไปซะหน่อย ต้องยอมรับครับว่าพิมพ์ไปร้อนไป ในตอนสงกรานต์ สราญรัก (2) ชินจะเขียนเกี่ยวกับบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ทั้งตอนละกันนะจ๊ะ

ตอนที่ 14:อู้คำเมือง ชำเลืองรัก

    แบบว่าปั่นต้นฉบับไม่ทัน มาอู้คำเมืองคั่นเวลาก่อนละกันเน้อ  ชินอยู่เชียงใหม่มาเดือนนึงก็ยังอู้คำเมืองไม่ได้หรอก แต่พอจะฟังแล้วเข้าใจหลายคำละ ซึ่งขอสรุปมาให้ฟังดังนี้เน้อ

เฮา = เรา
กิ๋น = กิน
ปี้ = พี่ (ผู้หญิง)
อ้าย = พี่ (ผู้ชาย)
แก่น = อัน
เปิ้น = ฉัน
เฮา = เรา
ลำ = อร่อย
กึ่ง = ครึ่ง
ก่ = ก็
แต๊ = แท้
แอ่ว = เที่ยว
ฮู้ = รู้
เฮือน = เรือน
งาม = สวย
แก้ต = แคระ
กั้ต = อวบ
ไก้ = อ้วน
น้ำขะหลำ = น้ำ#*%$!^ (อยากรู้ถามหลังไมค์)


ตอนที่ 15: สงกรานต์ สราญรัก (2)

    เอาล่ะ มาว่ากันเรื่องบรรยากาศกันเล่นน้ำสงกรนาต์ที่เชียงใหม่กันบ้าง  ชินไม่รู้ว่าปีก่อนๆเค้าเล่นกันยังไงนะ แต่จากการได้คุยกับคนในพื้นที่เค้าบอกว่าจริงๆปีก่อนๆเค้าเล่นกันเถื่อนกว่านี้ แต่ปีนี้ทางการเค้ารณรงค์ให้เล่นกันอย่างสุภาพและปลอดภัย กล่าวคือในบริเวณรอบคูเมืองซึ่งเป็นสถานที่เล่นหลักจะไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ห้ามเล่นแป้ง  มีรถเจ้าหน้าที่ขับวนรอบคูเมืองดูความเรียบร้อยและป่าวประกาศรณรงค์ให้เล่นสงกรานต์อย่างสุภาพเป็นระยะ เรามาดูภาพบรรยากาศกันเลยดีกว่า

ตอนเช้ารอบคูเมืองยังไม่ติดเท่าไหร่
10 โมงเริ่มละ
รถขยับได้ช้ามั่กเพราะคนเดินเล่นน้ำกันบนถนน
    ในเย็นวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี จะมีการแห่งขบวนสรงน้ำพระรอบคูเมืองเชียงใหม่ให้ประชาชนได้สรงน้ำพระพุทธรูปจากวัดต่างๆรอบคูเมือง ซึ่งแถวยาวเป็นกิโลเลยทีเดียว  เป็นภาพที่ค่อนข้างประทับใจที่ได้เห็นชาวเมืองยืนเรียงแถวถือขันเตรียมตักน้ำส้มป่อยเพื่อจะสรงน้ำพระกันเป็นทิวแถว ลองชมบรยากาศกันเลยเจ้า และเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าในเย็นวันที่ 13 เมษายน ของทุกปีจะต้องมีฝนตกลงมาชำระล้างเมืองเชียงใหม่ให้ชุ่มฉ่ำ แล้วฝนที่ตกตกหนักด้วยนะ ตกได้ไม่ถึงชั่วโมงก็หยุดจ้า  ซึ่งดีเหมือนกันที่ตกเพราะสองสามวันก่อนหน้านี้อากาศร้อนมาก และฝนที่ตกลงมาก็จะได้ช่วยชำระล้างเขม่าควันที่ครอบตัวเมืองให้มันน้อยลง

สาวเหนืองามแต๊
ประชาชนรอสรงน้ำจ้า

พระพุทธรูปจากวัดต่างๆ
ประชาชนรอสรงน้ำพระกันอย่างเนืองแน่น
แต่ละขบวนตกแต่งกันอย่างสวยงาม
    เอาจริงๆชินเพิ่งจะมาเล่นน้ำเอาวันสุดท้าย ด้วยเหตุที่ว่าวันแรกหนักไปทางเที่ยววัด วันที่สองพักผ่อนอยู่ห้อง แวะไปวัดตอนเย็นต่ออีกนิดหน่อย วันที่สามรู้สึกตัวเองว่าเฮ้ยมันต้องเปียกมั่งน่ะ ไม่ใช่กระสันอยากเล่นน้ำนะ เพราะจริงๆชินก็ไม่ได้เล่นมาสองปีติดแล้ว แต่ไหนๆอุตส่าห์ได้อยู่เชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ทั้งที ถ้าไม่ได้เล่นคงเสียดายแย่ ประจวบเหมาะพอดีที่พี่แขก รุ่นพี่ที่โรงเรียนไลน์มาบอกว่าพี่อยากโดนอะ (เล่นน้ำนะ) พวกเราก็เลยได้รวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายมาเล่นน้ำกันในวันสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้นพวกเรามาดูคอนเสิร์ตกันที่หน้ากาดสวนแก้วกันตั้งแต่วันแรกแล้ว ซึ่งวันนั้นลุลามาเล่นคอนเสิร์ตของส.บ.ม.ทำเอาใจชินละลายไปกับสายน้ำกันเลยทีเดียว

มาช้ารถติดเลยอ้ะ

มาทันห้าเพลงสุดท้าย
ม่วนหลาย
คนแน่นขนัด
คอนเสิร์ตจบ ด้านหน้ากาดปิดถนนเล่นน้ำกันไปซะละ
     ด้วยเหตุที่ว่ามาเล่นกันวันสุดท้าย จะซื้อปืนฉีดน้ำก็ใช้ไม่คุ้ม แล้วต้องซื้อน้ำมาเติมอีก มีความรู้สึกว่าปีหน้าคงไม่เล่นเพราะเกษียณตัวเองแล้ว ปีนี้อาจเป็นการเล่นครั้งสุดท้าย ก็เลยตัดสินใจกับผองเพื่อนว่าเอาขันกับถังน้ำไปตั้งป้อมรอบคูเมืองนี่แหละ น้ำก็เอาจากคูเมืองไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำ เล่นเสร็จถังก็เอากลับไปใช้ที่บ้านได้ ขันก็รองน้ำไว้ใช้ล้างก้นได้ ซื้อน้ำแข็งก้อนใหญ่แถวนั้นเอา ขายก้อนละ 80 เล่นได้ครึ่งชั่วโมงก็ละลายหมดละ วันนั้นซื้อเอามาผสมน้ำเล่นได้ 3 ก้อน ถ้าถามว่าจะซื้อทำไมให้เปลืองตังค์ น้ำธรรมดาไม่ได้เรอะ ต้องบอกว่ามันต่างกันครับ สาดน้ำเย็นสนุกกว่ากันเยอะ เวลาใครโดนสาดเข้าไปเป็นต้องกรี๊ดกร๊าด สะดุ้งโหยงกันเป็นแถบ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถใช้สแกนเกย์ เก้ง กวาง กระเทยได้ด้วย โดนสาดทีรบ้างก็ร้องกันเสียงหลง บ้างก็ลืมหลบเสียงกรี๊ดเสียงเข้ม แมนโคดก็มี

เลดี้บอย เต้นคอยรัก
ฝรั่งเช่ารถตุ๊กๆมาให้โดนสาดรอบเมือง
รถเทศกิจขับตรวจตราความเรียบร้อยรอบคูเมืองเป็นระยะ
รถติด จิตหงุดเงี้ยว
คลีนิคแห่งหนึ่งถือโอกาสโฆษณาสินค้าโดยการเอาชายหล่อล่ำมาถูสบู่โชว์
ก็เอาน้ำจากในคูเมืองนี่แหละ บางคนแม่มลงไปว่ายน้ำเลยฮะ
ททท.จัดงานอุษาคเนย์ที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด

ซุ้มพม่า
ซุ้มกัมพูชา
ซุ้มจีน สิบสองปันนา
ซุ้มลาว
   ปิดท้ายด้วยเรื่องฮือฮาคงจะต้องเป็นเรื่องของฝรั่งนายหนึ่ง ใส่ชุดเฮนไตแมนมาเล่นน้ำสงกรานต์  จริงๆชินไม่ได้เห็นด้วยตาหรอก พอดีมีรุ่นน้องส่งภาพมาให้ดู พี่แขกเห็นเจ๊แกถึงกับอุทานอยากจะไปเล่นน้ำตามล่าหาไส้อั่วในกระเปาะห่อหมกของผู้ชายคนนี้กันเลยทีเดียว ตามแหล่งข่าวกล่าวว่าฝรั่งนายนี้เล่นอยู่เส้นท่าแพนั่นเอง...

อ้ายมีแค่กระเปาะห่อไส้อั่วเท่านั้น

     สุดท้ายนี้ชินอยากสรุปคร่าวๆว่าสงกรานต์ปีนี้ม่วนหลาย แต่ก็แอบสะเทือนใจไม่ได้ว่าพื้นที่สำหรับการเล่นน้ำนั้น นับวันจะผูกขาดเป็นแค่กลุ่มของคนวัยรุ่นวัยทำงานมาเล่นน้ำกันด้วยความคึกคะนองเท่านั้น ถ้าสังเกตให้ดีมีผู้ใหญ่มาเล่นน้อยลงทุกทีด้วยมุมมองที่ว่ามันเลยวัยที่จะมาเล่นน้ำกันแบบคึกคะนอง และการเล่นน้ำแบบประพรมแบบสมัยก่อนมันแทบจะไม่มีแล้ว ส่วนเด็กน้อยๆผู้ใหญ่ก็ให้เล่นอยู่หน้าบ้านด้วยกลัวว่ามันจะอันตรายเกินไปที่จะมาเล่นในพื้นที่ยอดนิยมที่เดียวกับที่พวกวัยรุ่นเล่น แล้วที่ให้เล่นหน้าบ้านในซอยนี่ก็โคดเงียบเหงาเลย เด็กๆก็ทำได้แค่ฉีดน้ำใส่กระจกรถยนต์ หรือมอไซส์ที่ขับผ่านเท่านั้น สวัสดีปีใหม่ไทยครับ...