วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 10-12

ตอนที่ 10: เผาป่า หาพ่อง!

    ถ้าพูดถึงเชียงใหม่ หลายคนติดภาพยอดดอยอินทนนท์ ยอดดอยสุเทพ แม่คะนิ้งสะดิ้งรัก หมีแพนด้า 3 ตัวอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำหันตูดให้คนเสียเงินเข้ามาดู  ผู้คนใส่เสื้อกันหนาว เดินจูงมือไปกับคู่รักแล้วถ่ายรูปคู่กันบนยอดดอย...

 ดอยอินทนนท์ ก็คนมันรัก
แม่คะนิ้ง สะดิ้งรัก

 ดอยสุเทพ อักเสบรัก
ถ่ายรูปคู่ ชูชื่น

    มันก็ใช่ มันก็จริง แต่นั่นมันหน้าหนาวว้อยยยย!!! ตอนนี้มันหน้าร้อนเฟร้ย ร้อนเวอร์ไม่แพ้ในกรุงเทพเลย แล้วไม่ใช่แค่อากาศร้อน ก็อย่างที่คุณๆรู้กัน ว่าตอนนี้ภาคเหนือเค้าฮิตประเพณีเผาเทียนเล่นไฟกันอยู่ พวกเล่นเผาป่ากันฮะ แล้วไอ้คนที่เผาส่วนใหญ่แม่มอยู่บนดอยฮะ แม่มไม่รู้หรอกฮะว่าเขม่าควันที่แม่มเผามันปลิวตกลงมาในเมืองด้านล่าง ใครไปถ่ายรูปเมืองเชียงใหม่จากบนยอดดอยสุเทพแล้วคิดว่าเฮ้ยมีหมอกล้อมเมืองด้วย หมอกบ้านอาอึ้มมึงสิมีตอนเที่ยง แดดร้อนเปรี้ยง ฮ่วย!

 ภาพเมืองเชียงใหม่ในหมอกควันจากยอดดอยสุเทพ

     ภาพประกอบจากรายการข่าว จะเห็นว่าตามมาตรฐาน ไม่ควรมีเขม่าเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่พวกล่อเข้าไปถึงสามร้อย เมิงจะเผาเอา world record กันรึไง

   แล้วที่สเลดเป็ดกว่านั้นคือ ออกข่าวกันเข้าไป รณรงค์ประชาสัมพันธ์ทางทีวีกันเข้าไป ติดป้ายข้างทางกันเข้าไป แต่ไอคนเผามันอยู่บนเขาครับ เค้าไม่มีไฟฟ้าไปถึงครับ มีไฟไปถึงเค้าก็ไม่มีทีวีดูครับ แล้วมันจะรู้เรื่องกันมั๊ยสาดดด ถามคนท้องถิ่นว่าแล้วส่วนใหญ่เค้าจะเผาไร่เผาป่ากันทำไม เผาไล่ที่ เผานั่งยาง เผาประชดชีวิต เผาหนีภาษี หรือซ้อมเผาก่อนจะไปเผาเซ็นทรัลเวิร์ลอีกรอบ$^*%&$%^ (โดนดูดเสียง) หรืออย่างไรกัน คำตอบที่ได้คือ......


"ก็เฮาจะเผาเอาเห็ดเผาะ กับผักหวานนิ"

    อีเห็ดสด!!!!!! มันคุ้มมั๊ยฮะ!? เมิงเห็นแก่ตัวเกินไปมั๊ยอะ เมิงเล่นเผาป่าล้างบางสัตว์ เครื่องบินต้องหยุดบิน คนเป็นมะเร็งปอด การท่องเที่ยวเสียหาย เพราะเห็ดเผาะกับผักหวาน!? ตามข่าวบอกว่า เฮ้ยมันต้องเผา ถ้าไม่เผาผักหวานจะไม่แตกยอด เห็ดเผาะจะงอกออกมาไม่ได้เพราะมีพืชและหญ้าคลุมดินหนาเกินไป...  (ข่าวอ้างอิง: http://www.thairath.co.th/content/edu/239875)

   อย่างที่รู้ๆกันว่าสาวๆที่นี่เค้าผิวขาวผ่องเป็นยองใย หน้าใส ถ้าจะออกนอกบ้านทุคนต้องแต่งตัวสวย แต่งหน้าเด้ง เสื้อผ้าจัดเต็ม เล่นเอาชินหายใจแรงทุกครั้งที่ได้เจอ คือถ้าจะมีใครตายเพราะสูดเขม่าควันเข้าปอดเยอะเกินไป ชินคงเป็นคนแรกแน่นอน!

    เอาเป็นว่าชินจะไม่กินเมนูที่มีส่วนผสมของพืชสองชนิดนี้เด็ดขาด จะว่าไปวันนี้อากาศก็ร้อนโฮก จั๊กฉ่ำแฉะเวอร์ เฮ้อ ซักผ้าเสร็จละ(ซักเครื่องหยอดเหรียญ) จะขึ้นไปเปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำแล้วนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงอันนุ่มนิ่มแบบชินจังเลย พอชินเดินเท้าห้าชั้นถึงห้อง

- จั๊กฉ่ำ
- เปิดประตูห้อง
- ปิดประตูห้อง
- เปิดแอร์
- เสียงคอมเพรสเซอร์แอร์ดัง
- เสียงคอมเพรสเซอร์แอร์ดับ
- เปิดประตูห้อง
- จั๊กฉ่ำ
- นอนบนพื้นกระเบื้องแข็งๆ (อย่างน้อยพื้นกระเบื้องก็เย็นกว่าเตียง)

    ใช่ครับ ไฟดับครับ แล้วมันต้องดับตอนชินเดินขึ้นถึงห้องแล้วและเพิ่งเปิดแอร์ไป 1 นาทีด้วยนะ ถ้ารู้ว่าดับก่อนขึ้นหอ ชินจะได้ไปซื้อน้ำแข็งร้านขายของชำข้างหอมาถูหลังเล่นคลายร้อน แต่นี่มันโหดร้ายไปป้ะ ส่วนสาเหตุของไฟดับคือ....

รถการไฟฟ้ามาซ่อมสายไฟ... ฮ่วย!

สู้ต่อไปนะ ชินิโกะ...

ตอนที่ 11: กาดสวนแก้ว ไม่แห้วรัก

    หากพูดถึงศูนย์การค้าเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ หลายๆคนคงนึกถึงกาดสวนแก้ว ซึ่งได้เปิดทำการตั้งแต่ปี 2535 นับว่าเก่าแก่มากทีเดียว แต่ทุกวันนี้สภาพของกาดสวนแก้วกำลังเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุที่ว่ามีห้างใหม่ๆทั้งที่เปิดแล้ว และกำลังจะเปิดอีกเร็วๆนี้ ไม่ว่าจะเป็น เซ็นทรัลแอร์พอร์ต เซ็นทรัลเฟสติวัล และ พรอมเมนาด้า ทำให้ภาพในหัวผมมองกาดสวนแก้วเป็นอย่างนี้


กาดสวนแก้ว


ความเป็นจริง


สิ่งที่ผมเห็น


ส่วนเซ็นทรัลแอร์พอร์ท

ความเป็นจริง


สิ่งที่ผมเห็น
     ก็อย่างที่ผมบอกน่ะแล่ะครับ กาดสวนแก้วทุกวันนี้มีการจัดผังร้านค้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ร้านค้าแบรนด์เนมแทบไม่มีเหลือ ร้านค้าเป็นแนวจตุจักร ประตูน้ำมากกว่า แล้วก็มีโซนร้านขายมือถือแนวมาบุญครอง พันธ์ทิพ ยังดีตรงที่มีส่วน department store ของเซ็นทรัล และท๊อปซุปเปอร์มาเก็ตไว้ดึงคนเข้ามาบ้าง ในสายตาชินกาดสวนแก้วก็เป็นห้างเก่าๆ ได้อารมณ์ฟิวเจอร์ปาร์คบางแคก่อนโดนซีคอนมาเทคโอเวอร์ แต่ด้วยที่เป็นห้างไม่ไกลที่พักชินมากนัก ช่วงสัปดาห์แรกก็ไปมันซะสามรอบได้ ยังไม่ได้มีโอกาสไปเซ็นทรัลแอร์พอร์ทจนกระทั่งวันนี้ฮะ (10/04/13)




     ย้อนไปสองวันก่อน ตาลมารับชินที่สนามบิน และไปทานข้าวเย็นกันที่กาดสวนแก้ว หลังจากทานเสร็จ ก็คุยว่าไปดูพี่มากพระโขนงกันมะ (ตอนนั้นทะลุ 200 ล้านบาท) ก็เดินขึ้นห้างไป หาทางไปโรงหนังอยู่ซักพัก ก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่โรงของ EGV, SF, Major อะไรทั้งนั้น แต่เป็นโรง "Vistra" ลองเข้าไปดูในเว็บไซท์เค้าดูนะครับ น่ารักดี เป็นเว็บบล็อค http://vistashowtime.blogspot.com/ ส่วนเฟสบุคเค้าไม่ต้องไปเข้านะครับ ไม่อัพมาเกือบสองปีละ พอไปถึงโรงตอนสองทุ่ม มีรอบสองทุ่มครึ่ง คนขายตั๋วบอก รอบเต็มครับ ต้องรอรอบสามทุ่มครึ่ง เราสองคนเห็นว่าดึกเกินไป เลยพักโครงการนี้ไว้ก่อน ชินก็เดินจากกาดสวนแก้วมา ในใจนึกแต่ว่า ชิชะ เดี๋ยวกรูจะไปดูที่เซ็นทรัลแอร์พอร์ท สบายๆให้หายอยากเลย ไม่มาง้อกาดสวนแก้วแล้ว เชอะ!

    สองวันต่อมาชินก็ขับมาถึงเซ็นทรัลแอร์พอร์ต ชินตั้งใจเต็มที่ว่าจะมาดูพี่มากให้ได้ (มาดูคนเดียว ตาลไม่ว่างยาว และสงกรานต์ก็ต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด) วันนี้เป็นวันพุธ ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายครึ่ง บอกกับตัวเองในใจวันธรรมดาคนไม่เยอะน่ะ เรียนตอนเย็นตั้งหกครึ่ง ยังไงก็ทันน่ะ ขับไปถึง ชิบหายละ ไม่มีที่จอด ขนาดจอดกลางแจ้งข้างนอกนะ จอดในร่มชั้นใต้ดินอย่าได้ฝัน จอดไกลขนาดต้องไปขึ้นรถบริการรับส่งจากที่จอดรถถึงตัวห้างเลยอะ เอาวะ ห้างเค้าดีคนเลยเยอะไง ว่าแล้วก็ขึ้นไปถึงชั้นโรงหนัง สิ่งที่ชินเจอคือ...

แถวที่ขายตั๋วยาวเหยียด

ถึงขั้นแบ่งช่องขายตั๋ว 3 แถวเพื่อคนที่จะมาดูหนังเรื่องพี่มากโดยเฉพาะ
     พยายามมองโลกในแง่ดี เอาวะ ก็หนังเค้าดีนี่หว่า คนเยอะก็เป็นเพราะมันปิดเทอมนิ เลยยอมเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อไปซื้อตั๋วเรื่องนี้โดยเฉพาะ ไปยืนได้แป๊บเดียว เจ้าหน้าที่ก็เดินมาประกาศในแถวว่า "หนังเรื่องพี่มากเต็มแล้วนะคะ มีอีกทีก็รอบห้าโมงสิบค่ะ".......
       อ๊ากกก ว๊ากกก ม่ายยยยย ไม่จริงน่ะ เอาไงดีวะเนี่ย เรียนหกครึ่งจะไปดูรอบห้าโมงได้ไงวะ สุดท้ายชินก็เลย...

ใช่ครับ มันคือโรงวิสต้า ที่กาดสวนแก้ว
ตั๋วพี่มาก
        ชินขับรถบึ่งกลับมาที่กาดสวนแก้วอีกครั้ง พร้อมกับมุ่งตรงไปที่ขายตั๋วของโรงวิสต้า รอบเร็วสุดมีตอนบ่ายสองสี่สิบห้า เพิ่งค้นพบข้อดีของการดูหนังคนเดียวก็วันนี้แหละครับ ตอนเลือกที่นั่ง หน้าจอแดงเถือก คือไม่เหลือที่แล้วฮะ เต็มจนถึงที่นั่งแถวแรกหน้าจอ!!! โชคดีทีจุดสีฟ้าเล็กๆอยู่หนึ่งจุดท่ามกลางพื้นที่สีแดงเลือด เข้าใจทฤษฎี Blue Ocean ก็วันนี้นี่แหละครับ เอาจริงๆสภาพโรงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะครับ ที่นั่งอาจจะเป็นเบาหนังเทียม ไม่ได้นุ่มนิ่ม และเล็กไปซะหน่อย (พวกน้ำหนักเก้าสิบโลขึ้นไม่น่าจะนั่งได้ หรือถ้านั่งได้ก็ลุกไม่ได้เพราะติดตูดชัวร์ๆ) แต่ราคาตั๋วถูกมากครับแค่ 90 บาท ป็อปคอร์น 35 บาท น้ำอัดลมแก้วละ 20 บาท แถมไม่มีโฆษณาก่อนหนังฉายด้วย จะมีก็แค่หนังตัวอย่างสามสี่เรื่องเท่านั้น สุดท้ายก็ได้ดูพี่มากพระโขนงสมใจ ยะฮู้ และก็ทะลุ 300 ล้านไปเรียบร้อยแล้วฮะ

    ก็เป็นอย่างชื่อตอนของตอนนี้นั่นแหละครับ กาดสวนแก้วอาจจะดูเก่า ไม่ทันสมัยเท่าห้างใหม่ๆที่เปิดแข่ง เงินทุนก็น้อยไม่พอเอามาพัฒนาห้างแข่งกับเขา แต่ผมว่าที่นี่มันมีมนต์ขลังนะครับ จะมีฟู๊ดคอร์ทในห้างที่ไหนที่มีดนตรีสดมาบรรเลงเพลงกล่อมคนกินข้าว ตัวตึกตกแต่งด้วยก้อนอิฐแดงดูขลังและคลาสสิก คนไม่เบียดเสียดเกินไป เวลาเดินก็ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบกิน รีบไป เดินชิลๆได้เรื่อยๆ ได้อารมณ์ยก community mall มาไว้ในห้าง คือถ้าเราจะหาห้างที่มันทันสมัย อลังการ ขายแต่ของแบรนด์เนม มันหาไม่ยากนะ แต่ถ้าจะหาห้างที่เติบโตมาพร้อมกับเมืองๆนึง มีสเน่ห์มนต์ขลังแบบกาดสวนแก้ว จะมีแบบนี้สักกี่ห้างกัน? เอาเข้าจริงๆชินชักเริ่มชอบที่นี่ซะแล้วแฮะ...

ประวัติ กาดสวนแก้ว
กาดสวน ชวนเสียว


ตอนที่ 12:  จัดหางาน ประสานรัก


    มาอยู่นี่ได้เกือบสามอาทิตย์ละ ถึงเวลาที่ชินจะต้องหางานทำจริงจังซะที ว่าแล้วก็ลองขับไปสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ดู ขับจากตัวเมืองขึ้นไปทางแม่ริมไม่ไกลก็จะเป็นว่าสำนักงานจัดหางานอยู่ทางด้านขวามือ ในหัวชินคิดแบบเรียบง่ายว่า เอาวะ ลองไปหาตำแหน่งงานว่างดูเผื่อจะได้ไปสมัคร

      จอดรถเสด เดินลงรถก้าวแรกเงยหน้าดูป้ายประชาสัมพันธ์ต่างๆพาลให้เข้าใจผิดว่า เอ๊ะที่นี่เค้าใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการอันดับสองหรือยังไงกัน คือแทบทุกป้ายประชาสัมพันธ์ที่มีภาษาไทย จะต้องมีแปลภาษาพม่ากำกับข้างล่างทุกป้ายไป พอเดินเข้าไปข้างใน โอ้บร๊ะเจ้า นึกว่าอยู่ใจกลางกรุงหงสาวดี มีแต่คนพม่าทั้งนั้นเลยฮะ และทุกเคาเตอร์ก็จะมีป้ายภาษาไทยแปลพม่าข้างล่างอีกเช่นเคย นึกในใจว่า เอ๊ะ นี่กูมาหาตำแหน่งงานว่างหรือกูมาขึ้นทะเบียนแรงงานพม่ากันแน่วะเนี่ย

      เลยแกล้งทำเป็นเดินดูนู่น นั่น นี่ ก็เลยสรุปได้ใจความว่า หลักๆแล้ว ที่นี่มีไว้เพื่อ
1.คนไทยพาแรงงานพม่ามาขึ้นทะเบียน
2.แรงงานพม่ามาต่อทะเบียนต่างด้าว

      ว่าแล้วชินก็เดินออกมาเพราะเกรงว่าคนจะเข้าใจผิดว่าชินมาต่อทะเบียนต่างด้าว ส่วนไอเรื่องหาตำแหน่งงานว่างนั้น ง่ายมากครับ ไม่ต้องขับรถถ่อมาถึงสำนักจัดหางานก็ได้ แค่ชินเข้าไปใน....

http://cmemployment.org/job-index.asp
http://www.jobnorththailand.com/joblist.php

จบเห่...

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 6-9

02/04/12
ตอนที่ 6: คลื่นวิทยุ ปะทุรัก
                                             
กรุงเทพฯ                                                             เชียงใหม่
106 ครอบครัวข่าว                                                106 ครอบครัวธรรมะ
107 MET                                                            107 RED วิทยุคนเสื้อแดง...
93.75 เชียงใหม่เรดิโอ   วิทยุท้องถิ่นที่ชินชอบเปิดฟัง (ดึกๆชอบเอาเพลงเกาหลีมาเปิด)
***ถ้าจะฟัง Cool FM 93 มาที่นี่ให้หมุนคลื่น FM 88

ตอนที่ 7: ปฐมนิเทศ อาเพสรัก


หลายคนอาจจะงงว่าเมิงไปเรียนอะไร ยังไง ทำไมต้องไปไกลถึงเชียงใหม่ ชินต้องขอท้าวความนิดนึงฮะ เรื่องราวมันเกิดขึ้นเร็วมาก ค่อนข้างกระทันหัน ระยะเวลาในการตัดสินใจไม่ถึง3 เดือน ไม่ใช่ว่าชินไปทำใครเค้าท้องหรือหนีคดีค้ายาอะไรนะครับ เพียงแต่ว่าที่บ้านมีแผนในระยะยาวว่าจะไปอยู่เชียงใหม่ แต่ทีนี้ก็ไม่ได้พร้อมย้ายไปในทันทีถึงจะซื้อตึกไว้แล้วก็เถอะ ประกอบกับจังหวะมันพอดีที่ว่าชินเรียนจบโทพอดี แล้วสถานที่ที่ชินจะไปเรียนเนี่ยมันอยู่ที่เชียงใหม่ ใช้ระยะเวลาในการเรียน 1 ปี และที่สำคัญ เรียนฟรีด้วย! ตามเงื่อนไขของเค้า รับตั้งแต่เยาวชนจนถึงอายุ 30 ปีได้ ถ้าจำไม่ผิด แล้วทีนี้ชินคิดว่าถ้าหางานทำในกทม.แล้วก็ต้องลาออกแล้วย้ายไปกับที่บ้านอีก หรือถ้าทำงานติดลม ไม่ย้ายก็จะเสียโอกาสที่จะมาเรียนไปเลย หรือถ้ามาเรียนตอนอายุ 27-28 แล้ว เราจะยังอยากเรียนอีกหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจได้ว่า เอาวะไหนๆก็จบพอดี แรงยังมี พันธะไม่มี มีแต่อัณฑะ ก็ไปเรียนซะเลยสิ ระหว่างนี้ก็หางานทำควบคู่ไปด้วย จะได้รู้ตัวเองด้วยว่าชอบอยู่เชียงใหม่รึเปล่า ด้วยตุผลทั้งหมดนี้ก็เลยพาชินมา ณ จุดนี้ครับ
             และวันนี้ก็ถึงวันปฐมนิเทศครับ หลายคนอาจถามว่า แล้วสรุปเมิงไปเรียนอะไรกันแน่เนี่ยถึงต้องถ่อไปถึงเชียงใหม่ ไปเรียนผสมยาบ้าที่สามเหลี่ยมทองคำรึไงฟระวะเฮ้ย เปล๊า ผมมาเรียนที่นี่ครับ





            โรงเรียนทาญาม่า* ก่อตั้งขึ้นมาสำหรับคนหนุ่มสาวผู้ซึ่งมีความสนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่น เช่น ภาษาญี่ปุ่น ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมญี่ปุ่น การทำงานและการทำธุรกิจสไตล์ญี่ปุ่น โดยมีโรงเรียนแม่ คือโรงเรียนทาญาม่า*ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนธุรกิจอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นดำเนินการมาแล้วกว่า 42 ปีและภายใต้ชื่อวิทยาลัยทาญาม่า* NPO จิสเซนเริ่มก่อตั้งโรงเรียน ในต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้นำระดับประเทศโดยเน้นที่พื้นฐานด้านธุรกิจ ก่อตั้งโรงเรียนที่ประเทศกัมพูชาเป็นแห่งแรกในเดือน และโรงเรียนทาญาม่า*เชียงใหม่เป็นแห่งที่สอง สำหรับการเปิดการเรียนการสอนในต่างประเทศ
แล้วถ้าถามว่าคิดไงถึงไปเรียน ขนาดภาษาจีนที่เรียนไปยังไม่เอาอ่าวเลย จะมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มอีกแล้วยังงี้มันจะรอดเรอะ? ผมตอบได้คำเดียวครับ ว่าแรงบันดาลใจมันต่างกันครับ ตอนนั้นที่ตัดสินใจเรียนจีนเพราะมองแค่ว่าเศรษฐกิจจีนมันโตเรื่อยๆนะ ภาษาจีนมันต้องสำคัญแน่ๆในวันข้างหน้า ประชากรเค้ามีเป็นพันล้าน ยังไงก็ได้ใช้ มันก็เป็นจริงยังงั้นครับ แต่ก็เรียนไม่ได้เรื่องอยู่ดีฮะ เพราะมันเป็นสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นจริง แต่มันไม่ใช่แรงบันดาลใจในการเรียนจริงๆของผม ทำให้ไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าที่ควร ไอที่จบมาได้เกียรตินิยม (อันดับสามนู่นแน่ มหาลัยอื่นเค้าไม่มีนะ) เพราะเกรดวิชาอื่นที่ไม่ใช่จีนดันให้เกรดมันสวยหรอก แล้วยิ่งเรียนยิ่งเจอนักศึกษาจีนเกรียนๆ นักท่องเที่ยวจีนล้งเล้งเสียงดัง ข่าวเมลามีน เนื้อปลอม ไข่ปลอม ข่าวอาชญากรรมด้านลบต่างๆในจีน ยิ่งทำให้ความศรัทธาต่อคนจีนมันน้อยลงทุกที ที่ทำให้กัดฟันเรียนมาได้ก็เพราะมีอาจารย์ที่น่ารัก กับชื่นชมในประวัติศาสตร์จีน ก็เท่านั้นเองฮะ แต่กับภาษาญี่ปุ่นที่จะเรียนนี้ ตัวชินเองก็ไม่ได้ชื่นชอบภาษาโดยตรง แต่มานึกย้อนดู จริงๆเราเองก็เติบโตมากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กจนโตนะ ตั้งแต่เริ่มดูโดเรมอน จูนเรนเจอร์ ชินจัง ดิจิมอน โคนัน โซระ อาโออิ มิยาบิ และอีกต่างๆมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นถือว่าชนชาตินี่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนานมาก มีความเป็นชาตินิยมสูง มีระเบียบวินัยและความอดทน สิ่งที่ทำให้ผมชื่นชมญี่ปุ่นก็คงเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ประเทศเค้าพัฒนาตัวเองจากประเทศผู้แพ้สงครามมาเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นแนวหน้าของโลก และอีกเรื่องคงเป็นเรื่องความมีระเบียบวินัยที่ทำให้ชินอดทึ่งไม่ได้ทุกครั้งที่ประเทศเค้าเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ต่อให้ยิ่งใหญ่ร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่ได้เกิดภาวะจลาจล วุ่นวาย ประชาชนทุกคนรู้หน้าที่ของตนเอง มีระเบียบ มีวินัย ทำให้ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ญี่ปุ่นก็สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นๆไปได้ทุกทีมีความเสียหายน้อยกว่าประเทศอื่นๆถ้าเทียบกัน
โรงเรียนสอนภาษาที่นี่จึงตอบโจทย์ชินได้คือ ไม่เพียงแค่เรียนภาษาอย่างจริงจังทุกๆวัน แต่ยังสอนปรัชญา แนวคิด การทำงานและการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นด้วย ที่สำคัญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียน ขอแค่คุณเตรียมใจและเปิดใจพร้อมที่จะเรียนก็เพียงพอแล้ว

            และแล้ววันปฐมนิเทศก็มาถึง (01/04/13) สถานที่จัดงานคือโรงแรมเชียงใหม่ออคิด ตั้งอยู่ข้างๆกาดสวนแก้ว มีนักเรียนรุ่นที่ 6 เข้าร่วมพิธีเต็มห้องประชุม ประเด็นสำคัญอยู่ที่แขกรับเชิญแต่ละท่านที่ขึ้นมาให้โอวาทในพิธีปฐมนิเทศในครั้งนี้สิ่งที่ทำให้ประทับใจชินในวันนั้นคือท่านอาจารย์ใหญ่ ทาญาม่า *โตชิโอะ ที่แม้ปีนี้จะอายุปาเข้าไป 73 แล้ว แต่ท่านก็ยังบินจากญี่ปุ่นเพื่อพบปะกับนักเรียนในรุ่นนี้ทุกคน ท่านพูดประมาณครึ่งชั่วโมงได้โดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บป่วยเลย มารู้ทีหลังว่าท่านเจ็บหัวใจทุกครั้งที่ท่านต้องตะเบ็งเสียงหรือพูดเสียงดัง เพราะท่านได้ผ่าตัดหัวใจเทียมท่านต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา(แต่ตอนขึ้นเวที ท่านขอเดินขึ้นด้วยสองเท้าของท่านเอง)เจอมะเร็งที่สมอง หลังเริ่มโก่งตามสังขารที่เสื่อมไปตามกาลเวลา และแพทย์ก็ได้ห้ามท่านไม่ให้เดินทางมาประเทศไทยแต่ก็ไม่มีอะไรห้ามท่านไม่ให้มาพบกับนักเรียนของท่านได้ ท่านกล่าวไว้ว่า หัวใจที่ยังเป็นหนุ่ม มันทำให้ท่านเป็นหนุ่มอยู่เสมอ ไม่ว่าท่านจะอายุเท่าไหร่ นั่นคือหัวใจที่กระหายใคร่รู้อยู่ตลอดเวลาและท่านยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตได้ มิใช่แค่ความรู้ที่สูง แต่เป็นการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นดังนั้นการเข้าใจความต้องการของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญและอีกหลายต่อหลายคำพูดที่ฟังแล้วประทับเข้าไปในใจ แต่ชินจำมาเขียนได้แค่เนี้ย อย่าว่ากันนะ

(พอดีทางโรงเรียนยังไม่ลงรูปในเฟสบุ๊คซะที เลยต้องดึงรูปมาจากเน็ทก่อน ซึ่งจริงๆอาจารย์ใหญ่ในตอนนี้จะดูแก่กว่าในรูปอีกซักเล็กน้อย)



                อีกช็อตนึงที่ทำเอาชินสะเทือนใจก็คงเป็นตอนที่ให้ตัวแทนนักเรียนรุ่นใหม่ออกมากล่าวสุนทรพจน์ เธอออกมาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นได้ค่อนข้างฉะฉาน และแปลเป็นไทยในตอนหลัง จับใจความได้ประมาณว่า เธอจบคณะศิลปศาสตร์ภาษาญี่ปุ่นมา ในตอนแรกเธอฝันอยากจะเป็นล่าม แต่พอจบออกมาจริงๆเธอกลับพูดภาษาญี่ปุนไม่ได้ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่กล้าบอกว่าจบภาษาญี่ปุ่นมา เพื่อนเธอก็บอกเธอว่าเธอมีสองทางคือ จะเริ่มต้นใหม่ หรือ จะลองทำใหม่เธอบอกว่าเธอยังไม่อยากละทิ้งความฝัน เธอจึงเลือกที่จะลองทำมันใหม่อีกซักตั้ง โดยจะเริ่มต้นทำใหม่ที่โรงเรียนทาญาม่า*แห่งนี้ และขอฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ให้เคี่ยวเข็ญเธอด้วย ฟังแล้วก็จุกอก อารมณ์กรูเลยนี่หว่า จบจีนแต่ไม่อยากบอกว่าจบจีนมา เลยต้องเรียนโทมากลบเกลื่อน เอาว่ะ กุไม่ทิ้งจีนหรอก แต่เดี๋ยวทบทวนมันไปพร้อมกับการเรียนญี่ปุ่นนี่แหละ สู้ว้อย!!!

*ขออณุญาติใช้ตัวอักษรในการสะกดคลาดเคลื่อนจากของจริงเพื่อมิให้คนนอก search เจอเพจนี้นะฮ๊าฟฟฟ

ตอนที่ 8:GPS เป็ดน้ำเยอะ (อย่าผวนนะจ๊ะ)

                วันนี้ผมมีนัดดินเนอร์กับเพื่อนผมครับ เธอชื่อตาลครับ ฮะ! อะไรนะครับ!? ไม่มีอะไรครับ! เพื่อนกันเฉยๆครับ เคยอยู่ชมรมเดียวกันครับ แล้วพอดีเธอมาทำงานที่เชียงใหม่ได้ 1 ปีแล้วครับ ก็ติดต่อกันผ่านทางfacebookว่าไว้นัดเจอกันตอนที่ชินไปถึงเชียงใหม่แล้ว ชินขอย้อนไปเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันก่อนเลยนะครับ (31/03/13)
Tarn: ชินเน่ นี่ตาลเองนะ
Chin: สวัสดีตาล
Tarn:แหม่ ไม่ต้องมาทำเสียงเข้ม พรุ่งนี้เราว่าง ไปหาอะไรกินกันตอนเย็น เธออยากกินแบบไหน เธอว่ามาเรย อยากกินแบบในห้าง ร้านดัง อาหารขึ้นชื่อ ร้านที่ใครมาเชียงใหม่แล้วต้องมา อาหารพื้นเมืองหรืออะไรเธอว่ามาเรย
Chin:งั้นขออาหารพื้นเมืองละกัน มาอยู่ตั้งลายวันละ ยังไม่ได้กินอาหารพื้นเมืองจริงๆ ซะที
Tarn: Ok งั้นเอาร้าน ต๋องมะ ร้านบรรยากาศดีมาก อาหารรสชาตอร่อย ราคาไม่เวอร์ ห่างหอเธอไม่ไกล
Chin:ได้ๆ แล้วร้านมันอยู่แถวไหนงะ แบบว่าเราเพิ่งมาอยู่ ยังไม่รู้จักทางเรย
Tarn:อยู่ซอยนิมมาน 13จ้า ลอง search ดูในpantipหรือ GPS ก็ได้ ร้านนี้เค้าดังจะตาย เจอกัน 5 โมงเย็นนะ ถ้าไปช้ากว่านั้น รอคิวอีกยาวเลย
Chin: Ok ได้ๆ งั้นเราออกจากหอประมาณไม่เกินสี่ครึ่งนะ
Tarn:จ้า ทันอยู่แล้ว อยู่ไม่ไกลๆ
Chin:งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ห้าโมง บายย
Tarn:โอเคจ้า พรุ่งนี้เจอกัน
………………………………………………………………..
04:20 PM ของวันที่ 01/04/13 (นัดเวลา 05:00 PM)
                ชินอยู่ในรถ สตาร์ทเครื่อง กด GPS พิมพ์คำว่า ต๋องลงไป ภาพที่ปรากฏออกมาก็คือ



              ชิบหายละ ก็เข้าใจว่าอาหารพื้นเมือง แต่ไม่คิดว่าจะพื้นเมืองซะไกลขนาดนี้ เกือบ 70 กิโลจากจุดที่ชินอยู่ เฮ้ยนี่มันแทบข้ามจังหวัดเลยนะเนี่ย เอ๊ะเดี๋ยวนะ! หรือชื่อร้านมันจะซ้ำกันป่าวว เฮ้ยไม่นะ มันเขียน 1.ต๋อง2.อาหารพื้นเมือง 3.ซอยนิมมาน 13ทุกอย่างเป๊ะ โทรไปหาตาลสามรอบติด แต่สิ่งที่ชินได้รับตอบกลับมาคือ “Welcome to Voice mail service…” เอาแล้วไง ชิบหายสอง แบตหมด มือถือจมน้ำ ติดประชุม โดนชายฉกรรจ์รุมทำร้าย ฯลฯ หรืออะไรวะเนี่ย ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ในช่วงนาทีวิกฤติอย่างนี้ ในใจนึงคิดว่าตาลเข้าใจไรผิดป่าวว่าเราอยู่ตัวเมืองนะ ไม่ใช่นอกเมือง นี่ล่อเลยแม่ริม เกือบถึงสะเมิงอยู่แล้ว หรือว่าคำว่าใกล้ของคนเชียงใหม่มันคือไกลของเราคนเมือง อารมณ์ไกลแค่ไหนคือใกล้หรืออย่างไรกัน เอาวะในเมื่อติดต่อไม่ได้ นัดก็ต้องเป็นนัด ที่ชินกลัวคือ ห้าโมงแล้วชินไปไม่ถึง ตาลรอเก้อ แล้วจะผิดใจ เสียความรู้สึก เลิกคบกับชินเลย ทำไมล่ะ ถึงมือถือตาลจะพัง แต่ตาลก็รอชินอยู่ที่ร้านตั้งแต่ห้าโมงแล้วนะมโนภาพต่างๆลอยเข้ามาในหัว โดยที่ชินกดโทรศัพท์ยิกแต่ก็ยังคงติดต่อตาลไม่ได้ และชินก็เร่งขับไปตาม GPS จริงๆ เพื่อให้ทันเวลาห้าโมง 70 กิโลเมตร ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จนชินขับไปถึงปางช้างแม่สา (40% ของระยะทาง)
ในที่สุดชินก็ติดต่อตาลได้ตอนเกือบห้าโมงแล้ว ชินแทบพูดกับตาลไม่เป็นภาษาคน ทั้งๆที่พูดภาษาไทย แต่แกรมม่ามันมั่วไปหมด กรรม กริยา ประธาน ผสมกันแทบฟังไม่รู้เรื่อง ตาลเลยบอกให้ชินใจเย็นๆ พอดีตาลแบตมือถือหมด แล้วตกใจว่าทำไม GPS ชินถึงบอกทางไปทางแม่ริม ทั้งๆที่มันอยู่ห่างจากจุดที่ชินอยู่ไม่ถึงสิบโล ตาลยังพูดอีกว่า ไม่เป็นไรนะชิน ใครมาเชียงใหม่แรกๆ ขับรถหลงทาง จอดรถร้องไห้ข้างทางกันทุกคนแหละ ตาลเลยบอกให้ชิน searchร้านiberryของพี่โน้ตดู ร้านแกอยู่ซอยนิมมาน 17 ใกล้ๆกับร้านต๋อง พอ search ดู อ่าว เข้าเมืองเชียงใหม่นี้หว่า เฮ้ยอยู่ไกลจากหอเราไม่ไกลนี่หว่า และนี่คือภาพแผนที่จาก GPS เมื่อชินลอง searchคำว่า นิมมาน13” จากหอ





ครับ มันห่างจากหอชินไปแค่ 3.8 กิโลเมตรเองครับแล้วไมGPS แม่งขึ้นต๋อง ที่แม่ริมวะ เช๊ดเด้ กรุขับไปครึ่งชั่วโมง เหยียบคันเร่งมิดด้าม สรุปต้องขับกลับเข้าเมือง เสียเวลาเกือบชั่วโมง ขับไปกลับ 60 กิโล แก๊สหายไปอีกสองตุ้ม อยากจะกรี๊ดดดแข่งกับ Witch ในเกม L4D ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปคร่า ในที่สุดชินก็ขับกลับมาถึงร้านจนได้ พอเจอตาลชินก็ระบายความอัดอั้นตันใจในสิ่งที่ GPS มันทำกับชิน แต่ชินก็บอกตาลว่า ชอบคำที่ตาลพูดปลอบชินมากเลยนะ ที่ว่าใครมาเชียงใหม่แรกๆ ขับรถหลงทาง จอดรถร้องไห้ข้างทางกันทุกคนแหละตาลคิดได้ไงเนี่ย ตาลบอกไม่ใช่มุข เรื่องจริงนะ ตอนแรกๆตาลหลงทางร้องไห้ข้างทางตลอด จนต้องซื้อแผนที่มานั่งศึกษาอย่างจริงจัง

ยังไงก็ตาม คืนนั้นชินก็ได้ไปกินร้านต๋อง สมใจภาพดึงมาจากพันทิพนะ เพราะเย็นวันนั้นโมโหหิว ไม่มีรมณ์ถ่ายภาพอ้ะ






ปลานิลทอดสมุนไพร อร่อยเว่อร์ หนังกรอบร่อนลิ้น หอมกลิ่นสมุนไพร



ส่วนนี่ ลาบคั่ว มั่วรัก
                จากบทเรียนในครั้งนี้ ทำให้ชินต้องทำการเตรียมตัวเองให้พร้อม อย่ามาทำอะไรสดหน้างาน และถ้าคิดว่าไม่ใช่ น่าจะลองหาทางอื่น หรือข้อมูลเพิ่มเติมก่อน อย่างเช่นลองsearch คำว่า ซอยนิมมาน 13”แทนที่จะ search คำว่า ต๋องอย่างเดียว ส่วนสาเหตุว่าแล้วทำไม GPS ถึงมั่วสถานที่ขนาดนั้นล่ะ ชินว่าถ้าทางร้านไม่มั่วเอง ก็ต้องเป็นร้านคู่แข่งอย่างร้านเต๋อ,ตู๋มตุ๋ย ฯลฯ แกล้งปักหมุดร้านต๋องมั่ว เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ไม่รู้ทาง เพิ่งมาครั้งแรกแบบชินหลงทางไปร้านต๋องไม่ถูก หรือพอเห็นว่าอยู่ไกลก็ขี้เกียจไป แล้วมากินร้านตัวเองแทนนั่นเอง…. วินนิ่งตัวๆกับกุมั๊ยแสรดดด!

ตอนที่ 9:ตั๋วเครื่องบิน ทำชินช้ำ

    อยู่เชียงใหม่จะครบหนึ่งอาทิตย์ละ แต่ชินก็ต้องเดินทางกลับกรุงเทพอีกรอบเพราะต้องมาสอบป.โทตัวสุดท้าย นั่นคือสอบ Oral Comprehensive Exam ในวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน แต่ทว่าชินมีเรียนตอนเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์ ชินก็เลยต้องรีบเดินทางกลับมาวันจันทร์ให้ถึงที่เชียงใหม่ก่อน 5 โมงเย็น ชินางแผนการเดินทางเพื่อ save cost ที่สุด แต่ไม่ลำบากชีวิตจนเกินไป ก็เลยเลือกที่จะนั่งรถบัสวีไอพีกลับเช้าวันเสาร์ ราคาตั๋วประมาณ 800 บาท แต่ขากลับหารอบรถไม่ได้ เลยต้องยอมจ่ายแพงซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ่ายวันจันทร์ ถึงเชียงใหม่ประมาณบ่ายสาม เอ้อ เรียนทันตอนเย็นพอดี หมดไปอีก พันหกร้อยกว่าบาทครับ

    ซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จตอนบ่าย ตอนเย็นชินก็ไปเรียนต่อ เซ็นเซ (คุณครู)ก็มีเรื่องประกาศกับนักเรียนทุกคนว่า....วันจันทร์หน้าหยุดชดเชยวันจักรีนะคะ... ชินนิ่งตะลึงงั้นไปอีกสามนาที พร้อมกับกำใบจองเครื่องบินไว้ในมือแน่น และน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง...... (เลื่อนไฟลท์ได้ แต่จ่ายเพิ่มอีก 700 บาท)


จำไว้นะคะทุกคน วันที่ 6 เมษาของทุกปีเป็นวันจักรี***คร่า

***เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีสืบทอดต่อจาก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทย