วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 13 - 15

ตอนที่ 13: สงกรานต์ สราญรัก (1)

    สงกรานต์ปีนี้ชินไม่ได้กลับบ้านที่กรุงเทพครับ พอดีช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเพิ่งจะกลับไป และต้นเดือนหน้าก็จะกลับไปอีกรอบ ปีนี้ก็เลยขอดื่มด่ำกับบรรยากาศสงกรานต์ที่เชียงใหม่ซักหน่อย แบบว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นบรรยากาศสงกรานต์ที่เชียงใหม่เลยจริงๆ เคยแค่มาเที่ยวช่วงเทศกาลอื่นเฉยๆ เลยอยากรู้ว่าสงกรานต์ที่นี่มันม่วนขนาดไหน  จากการพูดคุยกับคนท้องถิ่นได้ข้อมูลมาว่าตั้งแต่หนังจีนเรื่อง lost in thailand ได้ฉายในประเทศจีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการฉายในจีนกว่าหกพันล้านบาทจากต้นทุนหนังเพียงแค่ 150 ล้านบาทเท่านั้น (พี่มากแค่ห้าร้อยล้านเองนะเอ้อ) ทำให้เกิดกระแส lost in thailand fever ขึ้น ถึงขนาดยอดการจองโรมแรม ที่พัก ทัวร์ เพิ่มขึ้นกว่าห้าเท่า ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ตรุษจีน ยันสงกรานต์ เรียกได้ว่าทัพจีนตีนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นกระจาย เล่นเอาไกด์ญี่ปุ่นตบยุงเพราะว่างงานกันเลยทีเดียว


   เอาเป็นว่าพักเรื่องนักท่องเที่ยวจีนไว้ก่อน ชินจะเล่าให้ฟังในตอนต่อๆไป ในตอนนี้ชินจะเอาภาพบรรยากาศสงกรานต์เชียงใหม่มาให้ดูคร่าวๆเท่าที่ชินได้ไปเที่ยวมาละกันเน้อ อาจจะไม่ครอบคลุมทุกกิจกรรมที่ทั้งทางราชการและเอกชนเค้าจัดขึ้นมา แต่ก็เรียกว่าได้ไปหลายงานอยู่ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงก็องเข้าไปดูในเว็บไซต์สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่เพื่อดูว่าเค้างานงานที่ไหนอะไรกันบ้าง(http://www.cm-mots.com/) ในตอนนี้ชินจะขอกล่าวถึงวัดต่างๆที่ชินได้ไปแอ่วมาตลอดช่วงสงกรานต์ละกันจ้า

ใส่บาตรในเช้าวันที่ 13 เมษายน 2556
    เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความเป็นสิริมงคลในชีวิต ก็เลยตื่นแต่เช้าเพื่อไปใส่บาตรที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่เลย (อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ ผู้สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ คือ พญามังราย, พญางำเมือง และ พ่อขุนรามคำแหง)  จากนั้นก็บุกตะลุยวัดต่อ ซึ่งต้องขอขอบคุณพี่แขก รุ่นพี่ที่โรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่อาสาเป็นไกด์และคนขับรถพาชินกับเพื่อนร่วมชั้นชื่อรุ้งอีกคน ชินขอเอาบรรยากาศในวัดต่างๆมาพอให้ดูพอกระชุ่มกระชวยจิตใจละกันนะจ๊ะ
วัดผาลาด อยู่ระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ
วัดผาลาด
วัดเจ็ดยอด
วัดเจ็ดยอด

วัดพันอ้น บนถนนคนเดิน
ไหว้พระธาตุที่วัดพันอ้น
วัดโลกโมฬี
วัดโลกโมฬี
วัดโลกโมฬี
วัดลอยเคราะห์

    วัดที่โด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวเห็นจะเป็นวัดพระสิงห์กับวัดเจดีย์หลวงด้วยความที่ใหญ่อลังการคนละแบบ กล่าวคือ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก สร้างขึ้นตั้งแต่พ.ศ. ๑๘๘๘ และเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเชียงใหม่ ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๗๐๐ โดยกษัตริย์ลังกา ๓ พระองค์และ พระอรหันต์ ๒๐ รูป เป็นผู้สร้าง ปี พ.ศ. ๑๙๓๑ พระเจ้าแสนเมืองมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ประดิษฐานที่วัดลีเชียงพระ (วัด พระสิงห์)ปัจจุบัน  นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป โบราณสถาน โบราณวัตถุต่างๆอีกมากมาย (ข้อมูลเพิ่มเติมhttp://xn--72cai2bycvaff7a7amd2dk4ct9p7bwf5c.com/index.php)
ตามภาพค่ะ
พระสิงห์ (องค์กลาง) วัดพระสิงห์
วัดพระสิงห์
พระธาตุประจำปีมะโรงปีนักษัตรของชินจ้า
สรงน้ำพระธาตุประจำปีมะโรงโดยการชักรอกน้ำขึ้นไปสรง
    ส่วนวัดเจดีย์หลวง มีโบราณสถานสำคัญคือพระธาตุเจดีย์หลวง ซึ่งถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถูกสร้างขึ้นในในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1945)  สร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะ บูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535  ซึ่งถ้าใครได้เข้าไปชมจะต้องอดทึ่งกับความใหญ่โตของพระธาตุแทบทุกคน ถึงแม้ในปัจจุบันส่วนยอดของพระธาตุจะไม่สมบูรณ์เหลือเพียงครึ่งองค์แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าในสมัยก่อนจะสูงและใหญ่โตขนาดไหน
วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง
    อีกแห่งนึงที่อยากแนะนำคือวัดพระศรีสุพรรณ ถนนวัวลาย(เป็นถนนคนเดินอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ เปิดทุกคืนวันเสาร์ อยู่ทางทิศใต้ของคูเมือง) ซึ่งด้วยความที่ถนนแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือเครื่องเงิน อุโบสถของวัดแห่งนี้จึงสร้างด้วยเงินทั้งหลัง ซึ่งห้ามผู้หญิงเข้าไปข้างในตัวอุโบสถเน้อ
พระพิฆเนศ วัดศรีสุพรรณ
อุโบสถเงิน วัดศรีสุพรรณ

อุโบสถเงิน วัดศรีสุพรรณ
     อีกวัดนึงที่จะไม่กล่าวคงไม่ได้ นั่นก็คือวัดสวนดอก (รูปวัดดึงมาจากวิกินะ ตอนนั้นแบตหมดพอดีเลยไม่ได้ถ่ายด้วยมือถือตัวเอง)  วัดแห่งนี้ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก 1 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีความสำคัญเพราะเป็นวัดที่รวบรวมพระอัฐิเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และ พระประยูรญาติมาประดิษฐานรวมกัน และเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าเก้าตื้ออันศักดิ์สิทธิ์
พระเจดีย์วัดสวนดอก
พระเจดีย์วัดสวนดอก
พระเจ้าเก้าตื้อ
     และแล้วก็ถึงวัดสุดท้ายสำหรับทริปจาริกแสวงบุญ ซึ่งชินค่อนข้างชอบเป็นการส่วนตัว นั่นก็คือวัดอุโมงค์  ด้วยเหตุที่ว่าเป็นวัดที่มีบรรยากาศเป็นวัดป่ามากที่สุดในบรรดาทุกวัดที่กล่าวมา  ซึ้งเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก แต่ชินและผองเพื่อนก็หาได้ไปนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่พวกเราซื้อขนมปังกับอาหารปลามาเลี้ยงปลาในบ่อแทน ซึ่งพอโยนอาหารลงบ่อไป ปลาก็ไม่ยอมกินด้วยเหตุที่มีนักท่องเที่ยวโยนให้มันทั้งวันแล้ว เลยต้องเอามาให้ฝูงนกพิราบกินแทน (เผลอๆมีนกเยอะกว่าปลาในบ่ออีก)
วัดอุโมงค์

วัดอุโมงค์

วัดอุโมงค์
เอาอาหารปลามาให้อาหารนก

     อีกหนึ่งสิ่งที่อยากบอกต่อ เป็นอะไรที่ชินค่อนข้างเห็นด้วยก็คือการที่ตามวัดใหญ่ๆในตัวเมือง เช่น วัดพระสิงห์ พระศรีสุพรรณ ฯลฯ จะจัดศาลาหรือพื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดไว้ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องธรรมะของพระพุทธศาสนากับพระลูกวัดเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง  หรือที่เรียกว่า monk chat ซึ่งชินเห็นว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ ไม่ใช่มีแค่วัดสวยให้แค่นักท่องเที่ยวมาไหว้ ถ่ายรูปคู่ อัพเดท status แล้วกลับประเทศ ซึ่งคงเป็นแค่การชื่นชมทางวัตถุ แต่ไม่ได้พัฒนาทางด้านจิตใจเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุด monk chat คงไม่ได้ต้องการถึงขั้นให้นักท่องเที่ยวหันมานับถือศาสนาพุทธ แต่อย่างน้อยก็ได้ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาเบื้องต้นในทางที่ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว



     ว่ากันว่าแค่บริเวณคูเมืองเชียงใหม่ก็มีวัดกว่า 88 แล้ว ถ้านับในอำเภอเมืองก็ร้อยกว่าวัด ถ้านับทั้งจังหวัดไม่รู้ว่าจะเท่าไหร่ ซึ่งจำนวนวัดอาจจะไม่เยอะเท่ากรุงเทพ แต่หากวัดเรื่องความหนาแน่นของวัดแล้วชินว่าเชียงใหม่ชนะนะ อาจกล่าวได้ว่าเชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาของภาคเหนือก็ว่าได้ ในตอนนี้อาจะหนักไปในทางเรื่องวัดไปซะหน่อย ต้องยอมรับครับว่าพิมพ์ไปร้อนไป ในตอนสงกรานต์ สราญรัก (2) ชินจะเขียนเกี่ยวกับบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ทั้งตอนละกันนะจ๊ะ

ตอนที่ 14:อู้คำเมือง ชำเลืองรัก

    แบบว่าปั่นต้นฉบับไม่ทัน มาอู้คำเมืองคั่นเวลาก่อนละกันเน้อ  ชินอยู่เชียงใหม่มาเดือนนึงก็ยังอู้คำเมืองไม่ได้หรอก แต่พอจะฟังแล้วเข้าใจหลายคำละ ซึ่งขอสรุปมาให้ฟังดังนี้เน้อ

เฮา = เรา
กิ๋น = กิน
ปี้ = พี่ (ผู้หญิง)
อ้าย = พี่ (ผู้ชาย)
แก่น = อัน
เปิ้น = ฉัน
เฮา = เรา
ลำ = อร่อย
กึ่ง = ครึ่ง
ก่ = ก็
แต๊ = แท้
แอ่ว = เที่ยว
ฮู้ = รู้
เฮือน = เรือน
งาม = สวย
แก้ต = แคระ
กั้ต = อวบ
ไก้ = อ้วน
น้ำขะหลำ = น้ำ#*%$!^ (อยากรู้ถามหลังไมค์)


ตอนที่ 15: สงกรานต์ สราญรัก (2)

    เอาล่ะ มาว่ากันเรื่องบรรยากาศกันเล่นน้ำสงกรนาต์ที่เชียงใหม่กันบ้าง  ชินไม่รู้ว่าปีก่อนๆเค้าเล่นกันยังไงนะ แต่จากการได้คุยกับคนในพื้นที่เค้าบอกว่าจริงๆปีก่อนๆเค้าเล่นกันเถื่อนกว่านี้ แต่ปีนี้ทางการเค้ารณรงค์ให้เล่นกันอย่างสุภาพและปลอดภัย กล่าวคือในบริเวณรอบคูเมืองซึ่งเป็นสถานที่เล่นหลักจะไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ห้ามเล่นแป้ง  มีรถเจ้าหน้าที่ขับวนรอบคูเมืองดูความเรียบร้อยและป่าวประกาศรณรงค์ให้เล่นสงกรานต์อย่างสุภาพเป็นระยะ เรามาดูภาพบรรยากาศกันเลยดีกว่า

ตอนเช้ารอบคูเมืองยังไม่ติดเท่าไหร่
10 โมงเริ่มละ
รถขยับได้ช้ามั่กเพราะคนเดินเล่นน้ำกันบนถนน
    ในเย็นวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี จะมีการแห่งขบวนสรงน้ำพระรอบคูเมืองเชียงใหม่ให้ประชาชนได้สรงน้ำพระพุทธรูปจากวัดต่างๆรอบคูเมือง ซึ่งแถวยาวเป็นกิโลเลยทีเดียว  เป็นภาพที่ค่อนข้างประทับใจที่ได้เห็นชาวเมืองยืนเรียงแถวถือขันเตรียมตักน้ำส้มป่อยเพื่อจะสรงน้ำพระกันเป็นทิวแถว ลองชมบรยากาศกันเลยเจ้า และเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าในเย็นวันที่ 13 เมษายน ของทุกปีจะต้องมีฝนตกลงมาชำระล้างเมืองเชียงใหม่ให้ชุ่มฉ่ำ แล้วฝนที่ตกตกหนักด้วยนะ ตกได้ไม่ถึงชั่วโมงก็หยุดจ้า  ซึ่งดีเหมือนกันที่ตกเพราะสองสามวันก่อนหน้านี้อากาศร้อนมาก และฝนที่ตกลงมาก็จะได้ช่วยชำระล้างเขม่าควันที่ครอบตัวเมืองให้มันน้อยลง

สาวเหนืองามแต๊
ประชาชนรอสรงน้ำจ้า

พระพุทธรูปจากวัดต่างๆ
ประชาชนรอสรงน้ำพระกันอย่างเนืองแน่น
แต่ละขบวนตกแต่งกันอย่างสวยงาม
    เอาจริงๆชินเพิ่งจะมาเล่นน้ำเอาวันสุดท้าย ด้วยเหตุที่ว่าวันแรกหนักไปทางเที่ยววัด วันที่สองพักผ่อนอยู่ห้อง แวะไปวัดตอนเย็นต่ออีกนิดหน่อย วันที่สามรู้สึกตัวเองว่าเฮ้ยมันต้องเปียกมั่งน่ะ ไม่ใช่กระสันอยากเล่นน้ำนะ เพราะจริงๆชินก็ไม่ได้เล่นมาสองปีติดแล้ว แต่ไหนๆอุตส่าห์ได้อยู่เชียงใหม่ช่วงสงกรานต์ทั้งที ถ้าไม่ได้เล่นคงเสียดายแย่ ประจวบเหมาะพอดีที่พี่แขก รุ่นพี่ที่โรงเรียนไลน์มาบอกว่าพี่อยากโดนอะ (เล่นน้ำนะ) พวกเราก็เลยได้รวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายมาเล่นน้ำกันในวันสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้นพวกเรามาดูคอนเสิร์ตกันที่หน้ากาดสวนแก้วกันตั้งแต่วันแรกแล้ว ซึ่งวันนั้นลุลามาเล่นคอนเสิร์ตของส.บ.ม.ทำเอาใจชินละลายไปกับสายน้ำกันเลยทีเดียว

มาช้ารถติดเลยอ้ะ

มาทันห้าเพลงสุดท้าย
ม่วนหลาย
คนแน่นขนัด
คอนเสิร์ตจบ ด้านหน้ากาดปิดถนนเล่นน้ำกันไปซะละ
     ด้วยเหตุที่ว่ามาเล่นกันวันสุดท้าย จะซื้อปืนฉีดน้ำก็ใช้ไม่คุ้ม แล้วต้องซื้อน้ำมาเติมอีก มีความรู้สึกว่าปีหน้าคงไม่เล่นเพราะเกษียณตัวเองแล้ว ปีนี้อาจเป็นการเล่นครั้งสุดท้าย ก็เลยตัดสินใจกับผองเพื่อนว่าเอาขันกับถังน้ำไปตั้งป้อมรอบคูเมืองนี่แหละ น้ำก็เอาจากคูเมืองไม่ต้องเสียเงินค่าน้ำ เล่นเสร็จถังก็เอากลับไปใช้ที่บ้านได้ ขันก็รองน้ำไว้ใช้ล้างก้นได้ ซื้อน้ำแข็งก้อนใหญ่แถวนั้นเอา ขายก้อนละ 80 เล่นได้ครึ่งชั่วโมงก็ละลายหมดละ วันนั้นซื้อเอามาผสมน้ำเล่นได้ 3 ก้อน ถ้าถามว่าจะซื้อทำไมให้เปลืองตังค์ น้ำธรรมดาไม่ได้เรอะ ต้องบอกว่ามันต่างกันครับ สาดน้ำเย็นสนุกกว่ากันเยอะ เวลาใครโดนสาดเข้าไปเป็นต้องกรี๊ดกร๊าด สะดุ้งโหยงกันเป็นแถบ ยิ่งไปกว่านั้นสามารถใช้สแกนเกย์ เก้ง กวาง กระเทยได้ด้วย โดนสาดทีรบ้างก็ร้องกันเสียงหลง บ้างก็ลืมหลบเสียงกรี๊ดเสียงเข้ม แมนโคดก็มี

เลดี้บอย เต้นคอยรัก
ฝรั่งเช่ารถตุ๊กๆมาให้โดนสาดรอบเมือง
รถเทศกิจขับตรวจตราความเรียบร้อยรอบคูเมืองเป็นระยะ
รถติด จิตหงุดเงี้ยว
คลีนิคแห่งหนึ่งถือโอกาสโฆษณาสินค้าโดยการเอาชายหล่อล่ำมาถูสบู่โชว์
ก็เอาน้ำจากในคูเมืองนี่แหละ บางคนแม่มลงไปว่ายน้ำเลยฮะ
ททท.จัดงานอุษาคเนย์ที่สวนสาธารณะหนองบวกหาด

ซุ้มพม่า
ซุ้มกัมพูชา
ซุ้มจีน สิบสองปันนา
ซุ้มลาว
   ปิดท้ายด้วยเรื่องฮือฮาคงจะต้องเป็นเรื่องของฝรั่งนายหนึ่ง ใส่ชุดเฮนไตแมนมาเล่นน้ำสงกรานต์  จริงๆชินไม่ได้เห็นด้วยตาหรอก พอดีมีรุ่นน้องส่งภาพมาให้ดู พี่แขกเห็นเจ๊แกถึงกับอุทานอยากจะไปเล่นน้ำตามล่าหาไส้อั่วในกระเปาะห่อหมกของผู้ชายคนนี้กันเลยทีเดียว ตามแหล่งข่าวกล่าวว่าฝรั่งนายนี้เล่นอยู่เส้นท่าแพนั่นเอง...

อ้ายมีแค่กระเปาะห่อไส้อั่วเท่านั้น

     สุดท้ายนี้ชินอยากสรุปคร่าวๆว่าสงกรานต์ปีนี้ม่วนหลาย แต่ก็แอบสะเทือนใจไม่ได้ว่าพื้นที่สำหรับการเล่นน้ำนั้น นับวันจะผูกขาดเป็นแค่กลุ่มของคนวัยรุ่นวัยทำงานมาเล่นน้ำกันด้วยความคึกคะนองเท่านั้น ถ้าสังเกตให้ดีมีผู้ใหญ่มาเล่นน้อยลงทุกทีด้วยมุมมองที่ว่ามันเลยวัยที่จะมาเล่นน้ำกันแบบคึกคะนอง และการเล่นน้ำแบบประพรมแบบสมัยก่อนมันแทบจะไม่มีแล้ว ส่วนเด็กน้อยๆผู้ใหญ่ก็ให้เล่นอยู่หน้าบ้านด้วยกลัวว่ามันจะอันตรายเกินไปที่จะมาเล่นในพื้นที่ยอดนิยมที่เดียวกับที่พวกวัยรุ่นเล่น แล้วที่ให้เล่นหน้าบ้านในซอยนี่ก็โคดเงียบเหงาเลย เด็กๆก็ทำได้แค่ฉีดน้ำใส่กระจกรถยนต์ หรือมอไซส์ที่ขับผ่านเท่านั้น สวัสดีปีใหม่ไทยครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น