วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 16-17

ตอนที่ 16: เรื่องน้ำ สำคัญนะ

ช่วงปลายเดือนเมษาที่ผ่านมา ชินได้มีโอกาสเข้าร่วมการสัมนาของมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (http://www.utokapat.org) ในหัวข้อเรื่อง เข้าใจน้ำ เข้าถึงน้ำ พัฒนาน้ำ ซึ่งจัดขึ้นที่เซ็นทรัล แอร์พอร์ท


ซึ่งมูลนิธินี้เกิดขึ้นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเงินจำนวน ๘๔ ล้านบาท ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ให้เป็นทุนประเดิมสำหรับการก่อตั้งมูลนิธิน้ำ เพื่อสนองพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาเรื่องน้ำ โดยการสัมนาในวันนั้น ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการและ ดร. รอยบุญ รัศมีเทศ กรรมการและรองเลขาธิการได้เข้าร่วมในการสัมนาด้วย ชินขอสรุปใจความสำคัญของการสัมนาในวันนั้นสรุปใจความสั้นๆได้ดังนี้

-ว่าด้วยเรื่องของภัยธรรมชาติแล้ว นอกจากเรื่องโลกร้อน ก็มีเรื่องน้ำนี่แหละที่เป็นภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อมนุษย์เราอย่างยิ่ง (ไม่แล้งก็ท่วม และจริงๆเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อน)
-ถ้าพูดถึงปัญหาน้ำในประเทศไทย ปัญหาหลักคือการไม่แก้ไขให้เป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่แก้ปัญหาแบ่งตามเขตการปกครอง ทำให้คนต่างพื้นที่ทะเลาะกันเพื่อให้พื้นที่ตัวเองน้ำไม่ท่วมในหน้าน้ำหลาก และเก็บกักน้ำให้มากที่สุดในหน้าแล้ง
-การขุดลอกคลองเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุที่ไม่ยั่งยืน เพราะยังไงน้ำจากต้นน้ำก็จะพัดพาเอาตะกอนมาถมเหมือนเดิมอยู่ดี
ปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ทำไมถึงยังแล้ง?

-ข้อมูลตัวเลข(ระดับน้ำ ระดับฝนที่ตก ฯลฯ)เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการแก้ปัญหา
- สองสามปีที่ผ่านมาฝนไม่ได้ตกน้อยลง กลับตกมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่ฝนทิ้งช่วงนาน
- ปี 2554 ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่ ปีนั้นฝนตกเพิ่มขึ้น 30%
- แผนที่บริเวณน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 กับน้ำแล้งในปี 2555 เป็นพื้นที่เดียวกัน!!!

- ในปีที่ในหลวงขึ้นครองราชย์ (2489)ขณะนั้นประเทศไทยมีประชากรเพียง 11 ล้านคน
- 70% ของโครงการหลวง เกี่ยวข้องกับน้ำ
- เกษตรกรไทยชอบขุดน้ำบาดาลมาทำการเกษตรในหน้าแล้ง ซึ่งทั้งประเทศคิดเป็นปริมาณน้ำบาดาลเท่ากับเขื่อนสิริกิตติ์ทั้งเขื่อน โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการทำให้แผ่นดินทรุดปีละกว่า 30 cm! ซึ่งเป็นผลให้น้ำท่วมสูงขึ้นทุกปีๆ
-การขุดบ่อเก็บกักน้ำที่ถูกต้องควรลึกตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป เพราะปีนึงน้ำระเหยคิดเป็น 2 เมตร และมีพืชคลุมดินรอบบ่อเพื่อลดการคลายน้ำด้วย
-กรมชลประทาน และการประปา ดูแลแต่น้ำสายหลัก ซึ่งมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ในเขตชลประทานแค่ 17% เท่านั้น
มีพื้นที่เกษตรเพียงแค่ 17% เท่านั้นที่เข้าถึงแหล่งน้ำของกรมชลประทาน

- งบชุมชนที่เอามาแก้ไขเรื่องน้ำคิดเป็นแค่ 10% ของงบทั้งหมด ซึ่งเอามาทำได้แค่ซื้อยาฆ่าแมลงมาพ่นผักตบชวาให้น้ำเน่าเล่นเท่านั้น
- กรมชลประทานจะทำโครงการที่มีปริมาณน้ำตั้งแต่ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นคลองเล็กๆที่ผ่านหน้าบ้านตาสีตาสาหมดสิทธิ์
- ราชการไทยชอบคิดทำเป็นโครงการทำเสร็จส่งเอาผลงานแล้วก็จบๆกันไป ไม่ชอบทำอะไรที่มันระยะยาว ตัวอย่างที่น่าบัดซบก็คือที่พะเยามีการสร้างเครื่องบำบัดน้ำเสียราคาเป็นร้อยล้าน แต่ไม่ได้ใช้เพราะไม่มีงบมาซื้อเชื้อเพลิง...
- การแก้ไขปัญหาน้ำต้องคิด(Macro)คือคิดทั้งระบบ  แต่แก้ปัญหาโดยเริ่มจาก (Micro)คือเริ่มทำตั้งแต่ภาคครัวเรือน
- ภาคครัวเรือน ชุมชน ร่วมกันบริหารน้ำได้โดยการนำวนเกษตรหรือเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้

    มีตัวอย่างของบ้านห้วยปลาหลด จังหวัดตาก ที่ทำให้ชินประทับใจไม่น้อย ชุมชนแห่งนี้เริ่มจากการที่ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อครอบครองเป็นพื้นที่ทำกิน
พวกล่อซะภูเขาเหี้ยนเตียนเป็นภูเขาหัวโล้น บ้างก็ปลูกไร่ข้าวโพด บ้างก็ปลูกฝิ่น จนท้ายที่สุดแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ชาวบ้านทะเลาะกันเองเพราะแย่งแหล่งน้ำ ซ้ำร้ายทางราชการได้เวรคืนที่เพื่อเป็นเขตอุทยาน โดยให้โอกาสชาวบ้านว่าถ้าจะยังอยากอยู่ร่วมกับป่า ต้องช่วยกันฟื้นฟูป่าให้กลับมาเหมือนเดิม ไม่งั้นก็จะต้องออกไป และในตอนนั้นเอง ในหลวงได้เข้ามาเยี่ยมชุมชนแห่งนี้ในปี 2517 และทรงส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกาแฟ และพืชผักแทนการปลูกฝิ่น จากการหันหน้าเข้ามาช่วยเปลือกันในชุมชนทำให้ตอนนี้แบรนด์มูเซอทั้งของกาแฟและพืชผักช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และการบริารจัดการน้ำในชุมชนก็เป็นระบบ มีการ

สร้างแนวและจัดเวรยามป้องกันไฟ มีแหล่งเก็บน้ำ มีการเก็บกระแสไฟฟ้าจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ในชุมชน ลองเข้าไปเยี่ยมชมชุมชนแห่งนี้ได้ที่
http://takcoop.blogspot.com/2012/05/muser-coffee.html

ตอนที่ 17: งานโรงแรม ค้างแรมรัก (1)

    หลังจากชิวอยู่ได้เกือบเดือน ในที่สุดชินก็ได้งานทำฮะ ขอบอกว่าไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ เพราะcondition ของชินคือ งานอะไรก็ได้ที่เข้า-ออกงานตรงเวลา ไม่ต้องอยู่เคลียร์งาน ไม่ต้องมาทำ OT-O.free ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนในภาคค่ำ  และได้ใช้ภาษาด้วย
และแล้วชินก็ได้มาทำงานโรงแรมอีกครั้ง หลังจากที่เคยเป็นบาร์เทนเดอร์มาเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ในครั้งนี้ชินได้มาทำ receptionครับ โรงแรมที่ชินไปทำเป็นโรงแรม 4 ดาว เก่าแก่ย่าน night bazaarครับ ขอสงวนชื่อโรงแรมนะฮะ เพราะเกรงว่าเรื่องที่ชินจะเล่าต่อๆไปมันจะมีผลกระทบต่อโรงแรมแล้วเดี๋ยวชินจะโดนฟ้องเอา เอาเป็นว่าที่นี่ยอมรับเงื่อไขของชินได้ที่จะไม่ขอเข้ารอบบ่ายเพราะติดเรียนภาคค่ำ เวลา 06.30-22.00 น. ตอนสมัครไม่ทันได้ดูว่าชุดพนักงานที่นี่เป็นยังไง พอเข้างานวันแรกน้ำตาแทบตกในเพราะพนักงานต้อนรับใส่ชุดเด็กดอย...
    สัปดาห์แรกของการทำงานชินถูกส่งตัวไปฝึกงานกับแผนก reception อยู่ 4 วัน ก็ทำให้ชินพอเข้าใจกระบวนการของการ booking ในรูปแบบต่างๆระหว่างโรงแรมกับลูกค้า ซึ่งลูกค้าที่จองมาจะมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น บริษัททัวร์ จองออนไลน์ (Agoda, Expedia, booking.com, etc..) มาในนามบริษัททัวร์ นิติบุคคล หรือในนามบุคคลทั่วไปก็แล้วแต่ เมื่อทางฝ่าย reservation ได้รับการติดต่อจากลูกค้าไม่ว่าจะทาง e-mail หรือทางโทรศัพท์ ก็จะต้องบันทึกรายละเอียกต่างๆของการจองลงใน booking form หลังจากนั้นก็ต้อง key ข้อมูลลูกค้าที่จองทั้งหมดลงในโปรแกรม Comanche ซึ่งที่นี่ใช้เป็นโปรแกรมหลักในการทำงานของฝ่ายต่างๆทั้งหมดในโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น sales, reservation, แม่บ้าน, reception, รวมถึงcounter ต่างๆของโรงแรมที่มีการ post bill

ซึ่งพอชินลองได้มาทำงาน reservation ก็ทำให้เข้าใจถึงความชอกช้ำระกำรักในเวลาที่ลูกค้า cancel การจองทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกบริษัท หรือทัวร์จะไม่ค่อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการ amend ข้อมูลเรื่องวันที่เข้าพัก วันเช็คเอาท์ หรือจำนวนคนมากกว่า แต่ที่ทำเอาฝ่าย reservation เบื่อ เซ็งจนแทบจะกระชากผมตัวเองมาเคี้ยวเล่นเห็นจะเป็นพวก online booking ที่ cancel กันเป็นว่าเล่น อารมณ์คลิกจองง่าย ก็คลิก cancelง่าย(ส่วนใหญ่ cancelได้ก่อนวันเช็คอิน 7 วัน โดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ) แต่่หารู้ไม่ว่าทุกครั้งของการคลิกจองเข้ามา ทางโรงแรมก็จะได้รับอีเมลล์จากเว็บไซท์เปล่านั้น และทางเจ้าหน้าที่ก็จะต้อง printอีเมลล์ออกมา กรอกรายละเอียดการจองลงใน booking form เสร็จแล้วก็ต้องกรอกรายละเอียดการจองนั้นๆลงในโปรแกรม comancheอีกต่อนึง เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเอาเอกสารของการจองลูกค้าเก็บไว้ในตู้เอกสารการจองของลูกค้าซึ่งจะแบ่งเอาไว้เป็นเดือนๆ แล้วถ้าลูกค้าแคนเซิลการจองมาทีนึงซึ่งง่ายแสนง่ายแค่คลิกปลายนิ้ว ส่วนเว็บไซท์นั้นๆก็จะส่ง auto-emailมาให้โรงแรมต่ออีกที
แต่ทางโรงแรมนี่สิ ต้องทำ manual 100%ฮะ กระบวนการก็จะย้อนกลับไปใหม่ คือเจ้าหน้าที่ก็จะต้องไปค้นเอกสารการจองในตู้ ต้องมาแคนเซิลใน comanche อีกที ซึ่งถ้าวันไหนมีคนกดแคนเซิลกันบ่อย วีนนั้นก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรกันเลยฮะ ซึ่งชินก็ไม่แน่ใจว่าที่อื่นเค้าเป็นอย่างนี้กันป่าวหว่า ก็ขอเอามาเล่าสู่กันฟังละกันเน้อ
กรอกข้อมูลการจองลงใน comanche

ทำงานที่นี่ยังไม่ถึงเดือนก็มีเรื่องราวถาโถมเข้ามามากมาย กะเช้างานจะไปหนักที่แขกลงมา check-out กะบ่ายจะหนักไปทาง check-in ส่วนรอบดึกก็จะอยู่เช็ค transaction และ

bill ทั้งหมดในวันนั้นๆว่ามีข้อผิดอะไรหรือไม่ ช่วง 2 อาทิตย์แรกชินได้เข้ามาทำกะเช้า แค่เช้าวันแรกเท่านั้นก็เกิดเรื่องชวนสยิวกิ้วเลย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

case 1: สายเข้า เขย่ารัก:

กล่าวคือเช้าวันนั้นยืนเวรกับพี่รุ่นผู้ ญ อีกคน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รุ่นพี่คนนั้นรับโทรศัพท์ตามปรกติ  แต่ทว่าอยู่ๆรุ่นพี่คนนั้นก็เงียบไป กลายเป็นหน้าเหวอแทน และพี่เค้าก็วางโทรศัพท์ไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ชินก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้นอะพี่ ยังไม่ทันที่พี่เค้าจะอธิบายอะไรโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
พี่เค้าเลยบอกให้ชินลองรับดู ชินก็เลยรับโทรศัพท์ขึ้นมา
ชิน: Reception speaking, how may I help you?
Guest: อู้วว อ้าาา อู้ว....(เสียงผู้ ญ ร้องครวญครางเบาๆ+เสียงหายใจแรง)
ชิน:.... ขออณุญาตวางสายนะฮะ....
ก็เข้าใจนะว่าจะให้ช่วยอะไร แต่ยังไงเจ๊ก็ช่วยตัวเองต่อไปละกัน...(แบบว่าผมยังไม่ออกเวรอ้ะ ไม่งั้นไปช่วยละ) หลังจากวางสายชินก็รีบเช็คข้อมูลในระบบว่าอะไร ยังไง เกิดอะไรขึ้น เธอเป็นใครกัน ก็ได้ความว่าเธอเป็นคนไทย มีสามีเป็นฝรั่ง ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นสามีเธอไม่อยู่ แต่demandเธอมันล้นหรือยังไงก็เลยโทรมาคนที่จะsupply ให้เธอได้ ทีแรกนึกว่าเธอจะยอมหยุด เธอโทรมาอีกสองสามครั้งครับ ซึ่งแต่ละครั้งที่โทรมาเราก็เวียนให้แต่ละคนในรอบนั้นๆได้รับโทรศัพท์ของเธอคนนี้จนครบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ F/O Manager ซึ่งได้ให้ความเห็นว่าลูกของเธอเล่นโทรศัพท์รึเปล่า ซึ้งผมว่าไม่ใช่แน่นอนเพราะจำได้ว่าลูกเธอยังเล็กแค่ 2-3 ขวบ จะเล่นเซ็กส์โฟนเป็นแต่เด็กแล้วเรอะ แล้วโทรมาไม่อ้อๆ แอ้ๆ แต่อู้ว์ อ้าห์ อย่างเดียวเลยเนี่ยนะ!!!

caseที่ 2: May I have more drawer?

ก็อย่างที่ว่าในหัวเรื่องแหละครับ ชินยืนเวรวันแรกก็มีฝรั่งท่านนึงเดินมาที่เค้าท์เตอร์ แกเป็นฝรั่งอ้วนใหญ่ วัยกลางคน แลดูน่ารักน่าดูเอ็นด้วยการแต่งตัวที่มีสไตล์ของแกสไตล์ยุค 60 นิดๆ แกก็ถามผมว่าแกอยากได้ลิ้นชักในห้องเพิ่ม (ไม่ใช่ drawer ที่แปลว่าจิตรกรมาวาดภาพนู้ดแบบ portrait ให้แกนะครับ) ประเด็นที่เหมือนจะไม่มีอะไรมันกลายเป็นมีอะไรด้วยเหตุที่ว่าแกจะเอาลิ้นชักเยอะแยะไปทำไมในเมื่อในห้องก็มีลิ้นชักตั้งแต่โต๊ะทำงาน โต๊ะเครื่องแป้ง รวมถึงลิ้นชึดในตู้เสื้อผ้า แกบอกของแกเยอะ ไอ้เรากลัวว่าแกจะฆ่าหันศพใครแล้วกระจายยัดตามลิ้นชักมากกว่าอะดิ แต่ยังไงก็ตามโรงแรมก็ไม่สามารถหาลิ้นชักมาเพิ่มให้แกได้ ก็เลยบอกให้แกซื้อตู้พลาสติกตามบิ๊กซี โลตัสราคาไม่กี่ร้อยมาใส่ห้องแกเองดูจะคุ้มกว่า จะทิ้งก็ไม่เสียดาย (แขกท่านนี้เป็นแขก long stay ครับ ณ วันที่ผมพิมพ์อยู่ตอนนี้ แกยังพักอยู่เลยครับ)

caseที่ 3:  Van Van three van

ครับ โรงแรมที่ชินทำงานมีลูกค้าหลากหลายครั้บ แต่มากกว่าครึ่งจะเป็นญี่ปุ่น นอกจากนั้นก็หลากหลายเลยฮะไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ตะวันออกกลาง มองโกเลียก็มีมาแล้ว ยิ่งตอนนี้ทัพจีนบุกทะลวงเข้ามาเป็นระรอกๆ ไอ้เรื่องภาษาอังกฤษขอบอกเลยครับว่าคนญี่ปุ่นเกือบ 80% พูดอังกฤษไม่ได้ แล้วยังมีพวกที่หน้าฝรั่งแต่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อีก เช่นพวกอิตาลี หรือแม้แต่ละตินอเมริกาบางคนที่หน้าฝรั่งแต่กูพูดได้แต่ spanish และแล้วก็มีแขกคนนึงที่เข้าในข่ายนี้น่าจะเป็นพวกยุโรปตะวันออกเดินมาที่เคาท์เตอร์ในวันแรกของการยืนเวรของชิน ชินได้ยินแกพูดว่า van van three van ฮะ อะไรนะ ต้องการ

รถตู้สามคันเลยเหรอวะ จะเหมาให้ทีมรักบี้หรือยังไง เอ๊ะแล้วทำไม van ไม่เติม s มันผิดแกรมม่านะ เอ๊ะ ยังไง อะไร ระหว่างที่กำลังยืนทะเลาะกับความคิดของตัวเอง คุณลุงที่เข้าเวรพร้อมกันทำงานโรงแรมมากว่า 18 ปี ที่ยืนอยู่ข้างๆก็เดินมาหยิบกุญแจห้อง 1131 ให้แขกคนนั้น... กูแม่งห่วยว่ะ....

caseที่ 4: กระดังงาลนไฟ ต้องให้เจแปน
วันที่สามของการทำงานก็มีผู้ ญ ญี่ปุ่นคนนึงเดินมาที่เคาท์เตอร์ ดูจากหน้าตาเดาได้ว่าเธอเกินสามสิบละ แต่ก็ยังดูสวยสพรั่ง กระดังงาลนไฟมากๆ ถึงการแต่งตัวเธอจะคล้ายกับวัยรุ่น คือนุ่งกระโปรงสั้นเสื้อแขนกุด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ๊แกดูหลอกวัยไม่เข้ากับอายุเจ๊แกแต่อย่างใด เธอเดินมาเพื่อขอกุญแจห้องกับผมครับ และพยายามพูดตัวเลขเป็นภาษาไทยซึ่งก็นึกอยู่แป๊บก่อนจะพูดได้อย่างถูกต้อง ผมยิ้มและชมเธอว่าเธอพูดไทยได้ถูกต้อง เก่งจังเลย ในใจอยากจะเข้าไปกอดหอมแก้มให้เป็นรางวัล แต่ เธอมากับสามีครับ... ฮ่วย

caseที่ 5: reception มันต้องผู้ ญ

มีอยู่วันนึงมีกลุ่มคนไทย walk-in เข้ามาพัก แต่มาในนามบริษัท จำได้ว่าต้องการห้องประมาณ 3 ห้อง เหตุการณ์ก็ราบรื่นจนแขกลงทะเบียนเสร็จ ได้รับกุญแจห้องเรียบร้อย ก่อนแขกกลุ่มนั้นจะเดินจากไป มีอาเจ้คนนึง อายุน่าจะสี่สิบกว่าได้ สะบัดบ๊อบเดินเข้ามาคุยกับชินและคุณลุงที่ยืนเวรด้วยกันสองคน (แกชื่อลุงตรี เดี๋ยวจะมีตอน special ให้แกโดยเฉพาะ) ว่าเอ๊ะ แปลกนะ ที่นี่เค้าให้ผู้ชายมาทำงาน reception ด้วยเหรอ ปกติต้องมีผู้ ญ บ้างนะ แกพูดพร้อมจิกสายตา อารมณ์ว่าเจ้ผ่านมาเยอะ ผมกับลุงตรีก็มองหน้ากันก่อนลุงแกจะบอกว่า ผู้ ญ ก็มีครับ แต่พอดีกะตอนนี้เหลือแต่ผู้ชายครับ แกก็พูดประโยคทิ้งทวน ชวนสงสัย ก่อนสะบัดบ๊อบแล้วเดินจากไปว่า
"เหรอ เท่าที่เห็นที่อื่น ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่เค้าก็เอาคนหน้าตาดีมาทำกันนะ.." สาดดด หมายความว่าไงฟระะะะะ เฮ้ย อยู่เคลียร์กันก่อนดิ เฮ้ย เฮ้ยยย....


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น